บทความที่ลงนี้ผมคัดลอก/ย่อบางส่วน/ปรับบางคำ - โปรดอ่านด้วยใจที่เปิดออกและด้วยพระวิญญาณทรงนำด้วย ครับ
ผมเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์บ้างในการนำไปประยุกต์ใช้ ลองอ่านดูครับ.... อั๋น
กฎมหัศจรรย์แห่งการมีเหลือเฟือ
มีกฎข้อหนึ่ง ได้แก่การมีอย่างเหลือเฟือซึ่งดำเนินอยู่ในชีวิต และความเหลือเฟือนี้มีไว้เพื่อดำเนินชีวิตของคุณเอง
คำ ว่า “เหลือเฟือ” (abundance) เป็นคำที่ไพเราะมาก ผมชอบคำ คำนี้เพราะมันรู้สึกเต็มเปี่ยมและร่ำรวย รากศัพท์คำนี้ (ในภาษาอังกฤษ) มาจากคำในภาษาลาตินว่า undare ซึ่งแปลว่า “ปรากฏขึ้นเป็นลูกคลื่น” ดังนั้น เวลาที่คุณคิดหรือปฏิบัติอย่างเหลือเฟือ คุณจะกระตุ้นสิ่งดีๆ ทั้งหมดให้ปรากฏแก่คุณเป็นลูกคลื่น
ผมได้รับจดหมายฉบับหนึ่งของชายคน หนึ่งชื่อ ลอยด์ จากวอชิงตัน ดี. ซี. เมื่อหนึ่งปีก่อน ชายคนนี้ประสบปัญหาทุกประเภท ชีวิตสมรสของเขากำลังจะล่ม เขาติดเหล้า ตกงาน ถูกไล่ออกจากงานเจ็ดครั้งซ้อนจากกลุ่มภัตตาคารที่ชื่อ “ฮอท ช๊อปเปส” แน่นอน ลอยด์คงไม่อาจพูดว่าสิ่งดีๆทั้งหลายปรากฏแก่เขาเป็นลูกคลื่น หรือแม้แค่เป็นฟอง
หลังจากนั้นไม่นาน ลอยด์เริ่มได้ยินผลอันอัศจรรย์ของความคิดในแง่บวกที่เกิดกับผู้คนต่างๆ เขาศึกษาพลังแห่งการคิดในแง่บวกทั้งจากหนังสือ และบทความต่างๆ ที่เขาหาได้ และตัดสินใจที่จะใช้เทคนิคนี้กับตัวเขาเอง สิ่งแรกที่เขาต้องทำคือจัดการกับอดีตของตัวเอง ใครจะจ้างเขาถ้ารู้ว่าเขามีประวัติอย่างนี้ แต่นั่นเป็นความคิดในแง่ลบ ซึ่งเขาเคยล้มเหลวมาก่อน มันไม่ใช่สิ่งที่จะใช้ตัดสินอนาคตได้อย่างแน่นอน
ใน หนังสือ พลังแห่งการคิดในแง่บวก เขาพบคำพูดที่ทรงพลังจากคัมภีร์ไบเบิล “..ลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย..”(ฟป 3:13-14)
ลอยด์ออกไป หางานทำอีกครั้ง...ที่ร้านฮอท ช๊อปเปส ที่ซึ่งเขาถูกไล่ออกมาแล้ว 7 ครั้ง เขาเดินเข้าที่ห้องของผู้จัดการฝ่ายบุคคล ยืดอกขึ้นแม้ว่าจะกลัว และสั่น ท่องพระคำใน ฟิลิปปี ไปตลอด ศรัทธาใหม่ที่มีอยู่ในตัวเขาทำให้เขากล้าบอกผู้จัดการว่าเขาต้องการกลับเข้า มาทำงานที่นี่ใหม่อีกครั้ง แล้วสิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น ผู้จัดการฝ่ายบุคคลบอกเขาว่า ถ้าเขาสามารถหาผู้จัดการสักคนที่สามารถรับรองเขาได้ เขาจะได้กลับมาทำงานที่นี่ใหม่อีกครั้ง ผมรู้ได้ตั้งแต่ตอนนั้นว่า บริษัทแห่งนี้เริ่มใช้หลักการของการคิดในแง่บวกแล้ว
ลอยด์เขียนมาว่า “ผมพบผู้จัดการคนหนึ่งที่จำความดีและความเลวของผมได้ เขาให้โอกาสผมอีกครั้ง” ลอยด์ได้เข้าทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ภัตตาคารรถขับผ่านแวะซื้อ (drive-in restaurant) แห่งนี้ เขาปรับระเบียบในชีวิตของตัวเองใหม่ที่นั่นนับแต่นั้นมา
เขาเขียนเล่าว่า
ผม ให้สัญญาง่ายๆ กับพระเจ้าและตัวเอง 2 ข้อ มันเป็นอะไรที่ผมไม่เคยกล้าทำมาก่อน เพราะสำหรับผมแล้ว การให้สัญญาอะไรกับใครเป็นเรื่องยาก ยิ่งกับพระเจ้าแล้วยิ่งยากขึ้นไปใหญ่
ข้อแรก ผมสัญญาว่าจะอ่านพระคัมภีร์ไบเบิล และอธิษฐานอย่างจริงจังทุกวัน
ข้อสอง ผมสัญญาว่าผมจะถวาย 10 % ไม่ว่าผมจะได้รับทิปในคืนนั้นดีหรือไม่ ก็ตาม
ผม ตัดสินใจที่จะปฏิบัติตามสัญญานี้ตามที่เขียนอยู่ในไบเบิลว่า “พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า จงนำสิบชักหนึ่งเต็มขนาดมาไว้ในคลัง เพื่อว่าจะมีอาหารในนิเวศของเรา จงลองดูเราในเรื่องนี้ ดูทีหรือว่าเราจะเปิดหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ให้เจ้า และเทพรอย่างล้นไหลมาให้เจ้าหรือไม่” (มาลาคี 3:10)
ผมไม่ใช่ทูต สวรรค์ และเคยทำผิดมาแล้วมากมาย แต่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้พบกับความสุข ความสงบ และการสื่อสารที่ได้ผลกับจิตวิญญาณของผม เวลาความดันของผมเริ่มสูงขึ้น เพราะลูกค้าที่ขับรถผ่านช่องรับอาหาร (บริการอาหารรับกลับ) ไม่ยอมให้ทิป ข้อความในพระคัมภีรืไบเบิล หรือจากหนังสือของคุณจะผุดขึ้นในใจของผม แล้วผมก็จะพยายามให้บริการที่ดีกว่ากับรถคันถัดไป
เมื่อเช้านี้หลัง จากที่ผมเลิกงานกลับมาถึงบ้าน ผมหวนนึกถึงช่วงหลายปีที่ผ่านมา แล้วจู่ๆ ผมก็รู้สึกว่าปัญหาที่เกิดกับผมเมื่อปีก่อนหายไปหมดแล้ว
แล้วลอยด์ก็ พูดสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจขึ้นมา ผมคิดว่ามันเป็นผลอันสร้างสรรค์ที่สุดของการคิดในแง่บวก อย่าลืมว่า นี่เป็นสิ่งที่มาจากชายหนุ่มที่เพิ่งมีชีวิตใหม่
ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะสามารถถวาย 10 % ได้ แต่เดี๋ยวนี้ผมคิดว่าผมไม่อาจทนที่จะไม่ทำมันได้เลย!
ช่าง เป็นความคิดที่สร้างสรรค์อะไรเช่นนี้ เครื่องหมายอัศเจรีย์ที่ท้ายประโยคข้างบนเป็นสิ่งที่ลอยด์เขียนเอง เขารู้สึกเหมือนอยากจะตะโกนบอกคนทั้งโลกถึงพลังแห่งความคิดใหม่ที่เขาค้นพบ ตอนที่เขาเริ่มถวายด้วยการมอบตัวเองและเงินทองอย่างจริงใจ เขาได้ปลดปล่อยพลังที่ทรงอานุภาพที่สุดอย่างหนึ่งออกไป เขาได้ค้นพบความจริงที่สำคัญในการมีชีวิตอย่างมีความสุข นั่นคือ คุณต้องให้เพื่อจะได้รับสิ่งดีๆในชีวิต
นี่คือเคล็ดลับ ของกฎแห่งการมีเหลือเฟือ
ผม ขอย้ำให้ฟังอีกครั้ง เพราะใจความในประโยคนั้นจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณอย่างแท้จริง มันจะทำให้คุณมีชีวิตที่สมบูรณ์ ปิติยินดีและเปี่ยมล้นด้วยความสุขมากกว่าที่คุณเคยนึกฝันมาก่อน
คุณต้องเป็นผู้ให้ก่อน จึงจะได้รับสิ่งดีๆ ในชีวิตนี้
จง ฝังความคิดอันนี้ลงไปในจิตสำนึกของคุณอย่างมั่นคง ท่องมันซ้ำแล้วซ้ำอีก ปล่อยความคิดของคุณให้จมอยู่กับมันจนมันกลายเป็นส่วนสำคัญของแนวคิดของคุณ คุณต้องให้ก่อน จึงจะได้รับสิ่งดีๆ ในชีวิตนี้ ผมไม่อาจย้ำความสำคัญของมันได้มากไปกว่านี้ มันเป็นสิ่งที่สามารถเปี่ยนแปลงชีวิตของคนทุกคนได้
กฎอันสร้างสรรค์ แห่งการมีชีวิตอันรุ่งเรืองนี้แสดงไว้แล้วในพระคัมภีร์ไบเบิล “ผู้ที่จะเอาชีวิตของตนรอดจะกลับเสียชีวิต แต่ผู้ที่สู้เสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เราก็จะได้ชีวิตรอด” (มธ 10:39) และกฏข้อนี้ก็ได้รับการย้ำอีกครั้งครั้งในประโยคที่ผมคิดว่าสำคัญที่สุดใน พระคัมภีร์ ไบเบิลทั้งหมด “…เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์” (ยน 10:10)
บางครั้งผลของการนำเทคนิค นี้มาใช้ก็ดูอัศจรรย์ยิ่ง ตัวอย่างที่ผมจะเล่าให้คุณฟังต่อไปนี้ เป็นเรื่องหนึ่งที่ผมเลือกมาจากเรื่องทำนองนี้ซึ่งมีอีกมาก เพราะมันเป็นเรื่องติดดินของคนธรรมดาเหมือนพวกเราที่จะสามารถพบได้ในชีวิต ประจำวัน และมันเป็นสถานการณ์ที่เราเรียกว่า “สิ้นหวัง”
แต่ที่จริงไม่มีสถานการณ์ใดที่จะเรียกว่าสิ้นหวังได้ด้วยกฎแห่งการมีเหลือเฟือ
เมื่อ 2-3 ปีก่อน ผู้หญิงคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในฟลอริดาต้องเจอกับปัญหาหนักในชีวิต เธอย้ายมาจากอิลลินอยส์พร้อมกับเงินที่เธอคิดว่าเพียงพอสำหรับการใช้ชีวิต ที่สมถะ เธอมีรายได้จากการลงทุนในหุ้นสามัญ
ก็อย่างที่มักเกิดขึ้น กับคนอื่นอีกจำนวนมาก มีเรื่องที่ทำให้เธอต้องเปลี่ยนแผน โรเบิร์ต เบอร์น เขียนไว้ว่า “แผนที่คิดว่าดีที่สุดของคนและหนูมักกลับตาลปัตร และไม่เหลืออะไรให้เราเลยนอกจากความเจ็บปวดและความเศร้าในความสุขที่คิดว่า จะได้มา” ซึ่งมันก็เกิดขึ้นกับเธอจริงๆ
มันเกิดกับเธอจริงๆ
เพราะ ว่าเมื่อตลาดหุ้นพังทลายลงในปี 1929 เธอต้องสิ้นเนื้อประดาตัว เธอสูญเงินทั้งหมดของเธอ โชคดีที่บ้านของเธอไม่ได้ติดจำนองที่ไหน เธอจึงมีหลังคาคลุมหัว แต่เธอก็ไม่มีรายได้อะไร และแน่นอนเธอย่อมจะต้องกังวล
“หนูจะทำยังไงดี” เธอเขียนจดหมายไปหาน้าที่เป็นหญิงชราซึ่งช่วยเหลือตัวเองแทบไม่ได้ และอาศัยอยู่ที่เพนซิลเวเนีย “ที่จริง สถานการณ์ตอนนี้เลวร้ายมากถึงขนาดที่หนูไม่รู้จะหาเงินมาซื้ออาหารประทัง ชีวิตได้ยังไง เชื่อมั้ยว่า ตอนนี้หนูมีแค่ขนมปังก้อนหนึ่งและเนยแข็งจำนวนเล็กน้อยอยู่ในครัว แต่กว่าที่หนูจะได้จดหมายตอบจากคุณน้าอาหารเหล่านี้ก็คงหมดไปแล้ว หนูลำบากมากจริงๆ”
เมื่อน้าที่ช่วยเหลือตัวเองแทบไม่ได้ ได้รับจดหมายฉบับนั้น เธอก็นั่งลงเขียนจดหมายตอบกลับไป ตัวเธอเองไม่มีเงินแม้แต่น้อย แต่เธอเธอให้สิ่งที่ดีกว่ากับหลานสาวของเธอ นั่นคือแรงจูงใจที่มีพลัง ความคิดเรื่องการมีเหลือเฟือ เธอให้สูตรสำหรับการเอาตัวรอดจากสถานการณ์อันเลวร้าย
น้าของเธอเขียน ว่า “ปัญหาของเธอคือ เธอคิดถึงเรื่องอดตาย ทั้งๆ ที่ธรรมชาติ มอบให้เราอย่างเหลือเฟือ เธอคิดเรื่องการรับแทนที่จะเป็นการให้ ดังนั้น เคล็ดลับในการรอดจากสถานกาณ์อันเลวร้ายของเธอคือ ให้ ให้ ให้!”
คุณ อาจบอกว่า นั่นเป็นคำแนะนำประเภทที่คุณสามารถเดาได้จากน้าแก่ๆ ที่มีชีวิตอยู่บนเก้าอี้โยก แต่ที่จริง คำแนะนำที่ดูเหมือนไม่เข้าท่านี้แสดงปัญญาอันฉลาดหลักแหลมที่มีต่อธรรมชาติ ของสิ่งต่างๆ อย่างลึกซึ้ง
วันที่จดหมายของน้ามาถึงฟลอริดา หลานสาวของเธอแทบจะไม่มีเหลืออะไรแล้ว เธอเหลือขนมปัง 2 แผ่น เท่านั้นในบ้าน คุณอาจจะจำไม่ได้ แต่ยังจำสภาพที่ไม่น่าชื่อที่เกิดขึ้นช่วงเศรษฐกิจตกต่ำในช่วงทศวรรษที่ 30 ได้ สถานการณ์แบบนี้เป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปในช่วงนั้น
ตอนที่บุรุษ ไปรษณีย์ส่งจดหมายให้เธอ เธอฉีกซองจดหมายออกโดยหวังว่า บางทีอาจมีเงินอยู่ข้างใน แต่เธอก็ไม่พบอะไร เธอพลิกจดหมายและฉีกซองออกให้กว้างขึ้นและหาดูอีกครั้ง แต่น้าไม่ได้ส่งเงินมาแม้แต่น้อย เธอจึงอ่านจดหมายฉบับนั้น
เธอรู้สึกหงุดหงิด และโยนจดหมายทิ้งไปอย่างไม่ไยดี
ใน ขณะที่เธอโยนจดหมายนั้นทิ้งไป ก็พอดีมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าบ้านของเธอ เธอไปเปิดประตูด้วยความรู้สึกที่ยังหงุดหงิดอยู่ และที่หน้าประตูบ้านของเธอมีเพื่อนบ้านคนหนึ่งยืนอยู่ เป็นชายแก่ที่สุภาพเรียบร้อบซึ่งอาศัยอยู่ที่ท้ายถนนห่างออกไปไม่ไกล เขามีท่าทางอับอายและอึดอัดใจ ดูละอายมากที่ต้องมายืนที่หน้าบ้านของเธอในสภาพเช่นนี้ เขาพูดว่าเธอมีอะไรพอที่จะเหลือแบ่งให้เขากินได้บ้างหรือไม่ เขากำลังเดินกลับบ้านหลังจากที่ออกไปหางานทำแต่ไม่ได้งานอะไร ภรรยาของเขาป่วยและเขาจำเป็นที่จะต้องหาอะไรให้เธอกิน เขาพูดด้วยความเศร้าสร้อยว่า เขาไม่อยากเชื่อเลยว่า เขาจะต้องมามีสภาพเช่นนี้
คำพูดในจดหมายของน้าดังขึ้นในใจของเธอ “เคล็ดลับในการรอดจากสถานการณ์อันเลวร้ายของเธอคือ ให้ ให้ ให้!”
ด้วย อารมณ์ชั่ววูบเธอเดินเข้าไปในครัวและหยิบขนมปัง 1 แผ่น ซึ่งเป็นครึ่งหนึ่งของสิ่งที่เธอมีทั้งหมด แล้วเดินกลับออกมา แต่แล้วเธอก็หยุดอีก “เคล็ดลับในการรอดจากสถานการณ์อันเลวร้ายของเธอคือ ให้ ให้ ให้!”
เธอหยุดคิดสักครู่หนึ่งแล้วเธอก็หันหลังกลับไปใน ครัวและหยิบขนมปังที่เหลืออีก 1 แผ่นออกมาด้วย เธอห่อขนมปังทั้ง 2 แผ่นด้วยกระดาษแล้วยื่นให้ชายแก่พร้อมกับกล่าวขอโทษที่ไม่มีอะไรจะให้ได้ มากกว่านี้ ชายแก่ผู้ซาบซึ้งในบุญคุณไม่เคยรู้ว่าสิ่งที่เธอหยิบให้เขาเป็นอาหารทั้งหมด ที่มีอยู่ในบ้านหลังนั้น
เรื่องที่เกิดต่อมาอาจฟังดูเหมือนไม่น่า เชื่อ มันอาจดูเหมือนเกินจริง แต่ผมกล้ายืนยันกับคุณว่า แม้แต่สิ่งที่เหลือเชื่อยิ่งกว่านี้ก็ยังเกิดขึ้นกับผู้คนอยู่ทุกวัน ประตูบ้านของสุภาพสตรีคนนี้เปิดต้อนรับทุกครั้งเวลา มีคนมาเคาะอีก
คราว นี้เป็นเพื่อนบ้านอีกคนหนึ่งที่ถือขนมปังก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งซึ่งสดใหม่ออกจาก เตาอบ และวันต่อมาเช็คเงินปันผลจำนวน 10 ดอลลาร์ ก็ส่งมาถึงเธออย่างไม่คาดคิด เธอรีบแบ่งมันไปช่วยเหลือเพื่อนบ้าน
และ หลังจากนั้นอีก 2-3 วัน เช็คจำนวน 50 ดอลลาร์ ก็ส่งมาถึงเธอในรูปของ “ของขวัญที่มาหลังวันเกิด” จากพี่ชายคนหนึ่งซึ่งเขียนว่า “พี่คิดว่าเธออาจจะกำลังขาดแคลน” แน่นอน คราวนี้เธอยังคงนำเงินจำนวนนี้ออกแบ่งปันอีก
เพราะถึงตอนนี้ สุภาพสตรีของเราคนนี้ได้บทสรุปกับตัวเองเหมือนที่ลอยด์ได้รับหลายปีต่อมาที่ ฮอท ช๊อปเปส นั่นคือ เธอไม่อาจทนที่จะไม่แบ่งปันได้เลย
ดังนั้น นี่เป็นวิธีที่กฎแห่งการมีเหลือเฟือให้ผล มันพร้อมอยู่ตรงนั้นที่จะมอบสิ่งดีๆ ทุกอย่างให้กับคุณ สิ่งที่คุณต้องทำมีแค่เพียงกระตุ้นให้เกิดการไหลของกระแสแห่งความเหลือเฟือ โดยการพัฒนาสิ่งเร้าบางอย่าง ได้แก่ ทัศนคติหรืออุปนิสัยบางอย่างที่จะเริ่มและดำรงกระแสแห่งความเหลือเฟือเอาไว้
สิ่งหนึ่งก็คือการทำอย่างมุ่งมั่นและตั้งใจด้วยความคิดว่ามีเหลือเฟือ บอกตัวเองให้กำจัดความคิดว่าขาดแคลนออกไปจากจิตใจ
ปฏิบัติ ไปตามความคิดแห่งความมีเหลือเฟือจนกระทั่งมันกลายเป็นนิสัยนึกหรือสร้าง จินตนาการว่าชีวิตของคุณเต็มไปด้วยสิ่งดีๆ ที่มีค่า นึกถึงตัวเองในฐานะที่เป็นผู้กระตุ้นให้เกิดการไหลของกระแสแห่งความดี (ไม่ใช่ความเลว) แห่งความร่ำรวย (ไม่ใช่ยากจน) ช่วยให้คนอื่นคิดและทำในลักษณะเดียวกันนี้ เพราะมันไม่อาจมีเหลือเฟืออย่างถาวรสำหรับใครถ้ามันไม่แพร่กระจายออกไปในวง กว้าง ความร่ำรวยที่ทุกคนได้รับจะช่วยยกระดับแห่งความมีเหลือเฟือสำหรับทุกคนเสมอ
ยัง มีข้อเท็จจริงที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ใครก็ตามที่ใช้กฎการมีเหลือเฟือ ความคิดถูกต้อง การกระทำที่ถูกต้อง การช่วยเหลือผู้อื่น จะรักษากระแสแห่งความดีและคุณค่าให้ดำเนินต่อไปอย่างม่หยุดนิ่ง แม้เวลาที่คนเราคิดผิด และขัดขวางการทำงานของกฎแห่งการรู้จักใช้ให้พอดี แต่คนที่ยังรักษาสมดุลอยู่จะยังสามารถดึงเอาความร่ำรวยอันมีอยู่อย่างเหลือ เฟือในโลกนี้
แคทเธอรีน โธรเวอร์ เล่าไว้ในหนังสือเรื่อง “ความร่ำรวย” ของชาร์ลส์ ฟิลมอร์ เกี่ยวกับเรื่องของชั้นเรียนแห่งหนึ่งซึ่งประกอบด้วยนักธุรกิจที่กำลังลอง ใช้หลักการนี้ มันเป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ
ผู้เรียนแต่ละคนจะต้อง “ใส่คำพูดที่มีชีวิตชีวาเข้าไปในสถานการณ์จริงของเขา” โดยหวังว่าพวกเขาจะประสบความรุ่งเรืองในงานไม่ว่าเศรษฐกิจจะตกต่ำเพียงใดก็ ตาม นี่เป็นเมืองที่ผู้คนมีความคิดในแง่ลบรุนแรงมาก แต่ละชั้นจะเริ่มด้วยคำพูดที่หนุนใจดังต่อไปนี้
ฉันเป็นบุตรที่ร่ำ รวยความรักของพระบิดา ทุกสิ่งที่พระบิดามีเป็นของฉัน ปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์กำลังบอกวิธีให้ฉันได้รับพรของพระองค์สู่ความร่ำรวย สุขภาพที่ดีและความสุข มรดกอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดของฉันจะมีมาถึงฉันอย่างเหลือเฟือ
ผู้ เรียนแต่ละคนจะต้องใส่ความคิดในแง่บวกเข้าไปในบรรยากาศของที่ทำงาน วงการธุรกิจหรือบ้าน เขาต้องสร้างพลังจากความคิดด้านที่ “มีเหลือเฟือ” ไม่ใช่ด้าน “ขาดแคลน” เพื่อต่อสู้กับพลังอันแรงกล้าด้านลบที่มีอยู่ทั่วไปหมดรอบตัวเขา
นัก ธุรกิจเหล่านี้ศึกษาและนำหลักการง่ายๆ ของกฎแห่งการมีเหลือเฟือมาใช้ พวกเขาคิดในเชิงสร้าง ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และแบ่งปันซึ่งกันและกัน พวกเขาทำงานอย่างสร้างสรรค์ และก่อตั้งพลังแห่งความคิดในแง่บวกอันยิ่งใหญ่ขึ้นมาสู้กับความพ่ายแพ้อัน น่าเศร้าที่ทุกคนกำลังพูดกันอยู่
แล้วผลลัพธ์ก็เริ่มปรากฏให้เห็น เลขานุการ 2 คน (ที่ใช้หลักการนี้) ทำงานช่วยเหลือบริษัทได้อย่างมากจนทั้งสองได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้น ในขณะที่คนอื่นๆ อีกจำนวนมากกำลังถูกลดเงินเดือน
ทนายคนหนึ่งช่วยเหลือลูกความของเขาอย่างเต็มที่จนลูกความเพิ่มเงินค่าจ้างให้มากมายแบบก้าวกระโดด
คนขายเหล็กซึ่งุรกิจควรจะซบเซาจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย ได้รับคำสั่งซื้อสินค้าจำนวนมากถึงหลายรายการอย่างไม่คาดฝัน
พนักงาน ขายในห้างสรรพสินค้าที่ชานเมืองแห่งหนึ่ง ซึ่งใช้หลักการแห่งการมีเหลือเฟือในการทำงาน ทำยอดขายจำนวนมากให้กับบริษัทที่ปกคลุมไปด้วยความคิดในแง่ลบ จนพนักงานเพียงคนเดียวที่ได้รับเงินค่าคอมมิชชั่นเพราะขายของได้มากกว่า โควต้าของเธอ
ตัวอย่างที่กล่าวมาแล้วเหล่านี้เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็น ว่า ความคิดในแง่บวกกระตุ้นให้เกิดความคิดใหม่ๆ ในเชิงสร้าง ความเหลือเฟือเริ่มต้นอยู่ในความคิดของคุณในรูปของมุมมองที่แปลกใหม่ต่อ ปัญหาต่างๆ ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ศักยภาพต่างๆ เหล่านี้ฝังลึกอยู่ในจิตใจของคุณเพื่อทำให้ชีวิตของคุณสมบูรณ์มากขึ้น
พระ ธรรมลูกา 17:21 บอกเราว่า “อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ภายในท่านทั้งหลาย” ช่างวิเศษอะไรเช่นนี้ ลองคิดดูซิ อาณาจักรอันร่ำรวยและยิ่งใหญ่เป็นศักยภาพที่มีอยู่ภายในจิตใจของคุณ เหลือเพียงแค่รู้จักปลดปล่อยมันให้อยู่ในรูปแห่งการมีเหลือเฟือและแน่นอน การมีอย่างเหลือเฟือหมายถึง เหลือเฟือในเรื่องดีๆ ต่างๆ เช่น สุขภาพที่ดี ความสุขสบาย ความมีพร้อม การบำเพ็ญประโยชน์ และสิ่งสร้างสรรค์ต่างๆ ในชีวิต
ผม มีเพื่อนคนหนึ่งที่เซนต์โยเซฟ มิสซูรี่ ซึ่งแสดงให้ผมเห็นเมื่อเร็วๆ นี้ว่าความคิดที่ถูกต้องจะกระตุ้นให้เกิดการมีเหลือเฟือได้อย่างไร เพื่อนคนนี้ชื่อว่า แจ็ค สแปร็ท เขาเป็นตัวอย่างของผลลัพธ์อันมหัศจรรย์ของความคิดในแง่บวกที่เกิดกับคนคน หนึ่ง
วันหนึ่ง ขณะที่ผมไปเยี่ยมคุณสแปร็ท เราคุยถึงเรื่องกฎแห่งการมีอย่างเหลือเฟือ “มันเป็นเรื่องที่อัศจรรย์จริงๆ” คุณสแปร็ทพุด “ที่แค่การเปลี่ยนความคิดจะสามารถมีผลต่ออาชีพทั้งหมดของคนคนหนึ่งได้” แล้วเขาก็บอกผมถึงวิธีที่เขาทำกับพนักงานขายเวลาที่พวกเขาเริ่มขายไม่ได้ หรือเริ่มอืด เขาจะเรียกคนพวกนี้เข้าไปในห้องทำงานของเขา
“โจ” เขาพุด “ผมต้องการให้คุณเอาสมุดรับคำสั่งซื้อมาให้ผม ผมต้องการมันคืน”
นั่น เป็นสิ่งที่ทำให้พนักงานขายกลัวจนหัวหด เขาคิดว่าคุณสแปร็ทจะไล่เขาออก แต่ที่จริง สแปร็ทไม่ได้ต้องการทำเช่นนั้น เขาเพียงต้องการเติมพลังให้กับพนักงานขายของเขา เขาต้องการให้โอกาสพนักงานขายค้นพบตัวเอง และให้ความมีเหลือเฟือเริ่มต้นไหลไปหาลูกน้องอีกครั้ง
“เอาละ โจ” คุณสแป็ทพูด “ผมต้องการให้คุณออกไปเยี่ยมลูกค้าของคุณใหม่”
“แต่คุณเพิ่งเอาสมุดรับคำสั่งซื้อของผมไป” โจตอบ
“นั่นเพราะว่าผมไม่ต้องการให้คุณรับออร์เดอร์ใดๆ แม้แต่ออร์เดอร์เดียว” สแป็ทพูด
“อย่าพยายามแม้แต่จะรับออร์เดอร์อะไรทั้งนั้น คุณออกไปในฐานะใหม่แห่งการเป็นพนักงานขาย คุณออกไปขายตัวเองตามกฎแห่งการมีเหลือเฟือ”
“นี่มันคำแนะนำแบบไหนกัน ผมมีออร์เดอร์ไม่มากพอ แต่คุณยังต้องการให้ผมเลิกรับมันทั้งหมดอีก”
แล้ว สแป็ทก็พูดขึ้นว่า “โจ ปัญหาของคุณก็คือ ที่ผ่านมาคุณมัวแต่หาเงินหาทองเพียงอย่างเดียว คุณต้องเสียสละตัวเองบ้าง เอาละต่อไปนี้คือสิ่งที่ผมต้องการให้คุณทำ ออกไปหาลูกค้าเหมือนปกติ แต่คราวนี้ ผมต้องการให้คุณไปหาลูกค้าทีละคน และเสียสละเพื่อพวกเขาเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ผมหมายความว่า ขอให้คุณทำประโยชน์ให้พวกเขาอย่างน้อยวันละ 1 คน ทุกวันตลอดสัปดาห์นี้ ช่วยให้พวกเขาได้รับอะไรบางอย่างที่พวกเขาต้องการจริงๆ เช่น ความกล้าหาญ ศรัทธา หรือความหวัง แค่มอบมิตรภาพแบบเก่าๆ ให้พวกเขา มองพวกเขาเหมือนเพื่อน ไม่ใช่ลูกค้า พอคุณเสียสละตัวเองครบ 1 อาทิตย์แล้ว ขอให้กลับมาหาผมใหม่”
คุณสแป็ทบอกผมว่า ปกติพอครบ 1 อาทิตย์ พนักงานขายจะกลายเป็นคนใหม่ มีน้ำเสียงที่กลับมีชีวิตชีวาและกระตือรือร้น มีความสนุกสนานในการติดต่อคบหากับลูกค้า แล้วส่วนใหญ่ก็มักจะมีสิ่งประหลาดเกิดขึ้นกับยอดขายของเขา ออร์เดอร์สั่งซื้อจะเริ่มมีเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย มันม่ใช่เพราะรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ แต่เพราะระบบการให้และรับของเขาได้ทลายกำแพงที่ขวางกั้นระหว่างผู้คนและปลด ปล่อยพลังสร้างสรรค์ในตัวเขาออกมา
*****“แน่นอน กุญแจสำคัญ” คุณสแป็ท พูด “คือการเสียสละตัวเอง เวลาและเงินทองของคุณออกไป เมื่อคุณทำเช่นนั้น สิ่งมหัศจรรย์ก็จะเริ่มเกิดขึ้นกับตัวคุณ งานของคุณ ชีวิตครอบครัวของคุณ และทุกๆ สิ่ง ผมเห็นว่ามันได้ผลมาแล้วนับร้อยๆ ครั้งที่เซนต์โยฯ นี้ คุณยิ่งเก็บอะไรให้กับตัวเองมากเท่าไร คุณจะยิ่งมีให้เก็บน้อยลงไปเท่านั้น แต่ถ้าคุณให้ออกไปมากเพียงใด คุณก็จะยิ่งมีอะไรไว้ให้ออกไปมากขึ้นเพียงนั้น”******
อุทิศตัว เอง เสียสละตัวเอง แบ่งปันสิ่งที่ตัวเองได้รับ ช่างเป็นความคิดที่ทรงอานุภาพอะไรเช่นนั้น และมันยังสามารถกระตุ้นให้เกิดกระแสแห่งความเหลือเฟือให้เกิดขึ้นไม่ว่าคุณ จะต้องการความเหลือเฟือในแง่ของวัตถุ ความคิด หรือความสุข การอุทิศตัวเองหมายถึงการมอบตัวเองให้กับผู้คน ทำประโยชน์ให้กับเพื่อนมนุษย์ในโลกนี้ ถ้าคุณทำสิ่งเหล่านี้อย่างอ่อนน้อมและจริงใจ สิ่งดีๆ จะไหลกลับมาหาคุณ ลองทำดูด้วยตัวเอง และสังเกตผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นด้วยตัวคุณเอง
ครั้งหนึ่ง ผมได้รับจดหมายจากคุณแม่วัยเยาว์คนหนึ่งคนหนึ่งซึ่งบ่นว่า เธอได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
ใครเป็นคนที่ต้องหุงหาอาหารและรีดเสื้อผ้ารวมทั้งทำความสะอาดที่นี่ทั้งหมดล่ะ ฉันเอง!
ใครเป็นคนใช้ที่ต้องดูแลทำความสะอาดห้องหับขณะที่คนอื่นเล่นกันล่ะ ฉันเอง!
ฉัน กล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่างานของฉันไม่ใช่งานที่น่าสนุก บ้านหลังนี้ไม่ใช่สถานที่แห่งความรักเลยค่ะ ดร.พีล มันเป็นบ้านที่มีคนใช้ที่ต้องทำงานหนักเกินกำลังอยู่คนหนึ่ง คนใช้ที่ต้องทำงานทุกอย่าง และคนใช้คนนั้นก็คือฉัน แล้วฉันได้อะไรตอบแทนบ้างล่ะ ไม่มีเลย! ไม่มีแม้แต่น้อย มีแต่งาน และงานที่เพิ่มขึ้น
ผมตอบจดหมายของเธอว่า ผมเสียใจที่เธอรู้สึกเช่นนั้นกับบ้านของเธอ มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริงๆ ที่ผู้หญิงคนหนึ่งไม่ชอบงานของเธอในฐานะภรรยา แม่ และผู้ที่สามารถสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นภายในบ้านได้
เห็นได้ชัดว่า เธอมีความคิดที่เอาแต่ตัวเองเป็นศูนย์กลาง จนทำให้ไม่ได้รับและไม่รู้สึกถึงกระแสแห่งความรักที่ครอบครัวของเธอต้องการ ส่งมาให้เธอ เธอสร้างกำแพงกั้นมันไว้ซึ่งทำให้เธอต้องหงุดหงิดและอ่อนเพลีย
ผม แนะนำหญิงสาวคนนี้ให้มีทัศนคติใหม่ ให้เธอลองทำดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าสมมติว่าเธอมอบความรักและความอิ่มเอิบใจออกไปให้คนอื่นก่อน แทนที่จะรอให้คนอื่นมอบอารมณ์ที่ดี ๆ เหล่านี้ให้กับเธอก่อน
“เวลา คุณทำกับข้าว” ผมบอก “คุณต้องใส่เครื่องปรุง คุณใส่เกลือ พริกไทย และเครื่องเทศต่างๆ ลงไป ทำไมคุณไม่ “ปรุง” ชีวิตในบ้านของคุณล่ะ ลองดูซิ สักเดือนหนึ่ง เติมความรักลงไปให้เต็มๆ สัก หนึ่งช้อนโต๊ะในตำรับอาหารของคุณ ขณะ ที่คุณกำลังปรุงอาหารอยู่ให้คิดหรือบางทีพูดคำพูดเหล่านี้ออกมาดังๆ “ฉันกำลังเติมความรักลงไป มันจะทำให้อาหารอร่อยมากขึ้นสำหรับทุกคน” ลองทำแบบนี้กับการทำความสะอาดบ้านช่องของคุณ ทิ้งความคิดที่เลวร้ายเก่าๆ ของคุณไป และเปลี่ยนเป็นความรัก ฉีดพ่นความคิดของความอิ่มเอิบใจลงไปในเสื้อผ้าของคนในครอบครัวของคุณขณะที่ คุณเตรียมรีดมัน แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ อย่ารอให้คนอื่นเป็นคนเริ่ม คุณต้องเป็นคนเริ่มกระสแห่งความรักนี้ด้วยตัวคุณเอง แล้วเขียนจดหมายมาหาผมอีก เล่าให้ฟังว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
ผมไม่ต้องรอนานที่จะรู้ผลของการทดลองนี้เป็นอย่างไร สามสัปดาห์ต่อมา ผมได้รับจดหมายจากหญิงคนนี้ เธอเขียนบางตอนไว้ดังนี้
ฉัน ต้องยอมรับค่ะ ดร.พีลล์ ว่าตอนแรกฉันรู้สึกว่าความคิดของคุณจะสุดโต่งเกินไปหน่อย ลองคิดดูสิว่าเติมความรัก 1 ช้อนโต๊ะลงไปในตำรับอาหาร ทิ้งความคิดด้านลบทั้งหมดออกไป ฉีดพ่นเสื้อผ้าด้วยความรัก แต่ขอบอกตามตรงว่าสถานการณ์ที่นี่เลวร้ายและฉันก็รู้สึกทุกข์ทรมานจนฉัน ตัดสินใจว่าถึงยังไงก็จะลองทำตามความคิดของคุณดูสักครั้ง แม้มันจะดูประหลาดเพียงใดก็ตาม แต่ตอนนี้ ฉันพูดได้แค่เพียงว่า มันมหัศจรรย์มากที่ได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ
ตัวอย่างเช่น คืนแรกสุด สามีของฉันชมว่าอาหารที่ฉันทำอร่อยมาก มันเป็นครั้งแรกในรอบหลายๆ ปีที่เขาชมฉัน คุณรู้ไหมว่าเขาพูดว่ายังไง “คุณผสมอะไรลงไปในอาหารค่ำนี้จ๊ะที่รัก มันเยื่ยมมากจริงๆ”
ฉันเองก็ ประหลาดใจในตัวเองเหมือนกันที่ตอบเขาไปว่ามันเป็นสูตรลับ และฉันยังมีอย่างอื่นอีกเยอะ แล้วก็เกิดเรื่องแบบนี้กับสิ่งอื่นๆ ภายในบ้าน มันไม่ใช่คำชมไปทั้งหมดทุกครั้ง บางครั้งมันก็เป็นแค่สายตาแห่งความชื่นชม แต่บางครั้งก็ถึงขนาดยื่นมือมาช่วยฉัน ยังไงก็ตาม เดี๋ยวนี้ฉันรู้สึกว่าโลกที่อยู่ต่อหน้าฉันกลายเป็นโลกใหม่ทั้งหมด
*****นี่ เป็นเพียงตัวอย่างบางรายของการกระตุ้นด้วยกฎแห่งการมีเหลือเฟือ แต่ทุกรายมีสิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ การไหลลื่นของกระแสแห่งความมีเหลือเฟือในแต่ละรายเริ่มต้นขึ้น เมื่อเขาหรือเธอกล้าแสดงตัวออกมา เลิกกลัว และเชื่อว่าสิ่งดีๆ จะเกิดขึ้นกับเขาหรือเธอ และปฏิบัติตามความเชื่อนี้ด้วยการเสียสละตัวเองออกไปให้กับผู้อื่นมากที่สุด ก่อนเป็นสิ่งแรก มันเป็นความจริงที่ว่า ความคืดในแง่ลบจะดึงดูดความคิดในแง่ลบเข้ามาหา และความคิดในแง่บวกก็จะดึงดูดความคิดในแง่บวกเข้ามาหาเช่นกัน ถ้าคุณมีชีวิตแบบคิดเล็กคิดน้อย คิดในแง่ลบ คุณก็จะดึงดูดคนประเภทเดียวกันนี้เข้ามา แต่ถ้าคุณกล้าขจัดความคิดแบบคร่ำครึออกไปตั้งแต่แรก แล้วหันมาคิดแบบแจ่มใส ในแง่ดี ด้วยความคิดว่ามีเหลือเฟือ คุณก็จะยิ่งดึงดูดความคิดแบบนี้เพิ่มมากขึ้นในตัวเอง******
การ มีเหลือเฟือไม่ได้เกิดขึ้นจากการภาวนาขอสิ่งต่างๆ ขอเงิน ขอตำแหน่งหน้าที่การงาน แต่เป็นการอธิษฐานเพื่อให้เกิดความคิดและปัญญา สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทรงคุณค่าซึ่งคุณสามารถนำมาใช้เติมเต็มให้กับชีวิต ของคุณได้
ที่จริง คุณค่าทั้งหมดขึ้นอยู่กับความคิดและจิตใจของคุณ การบรรลุสิ่งต่างๆ อย่างสร้างสรรค์เป็นเรื่องภายในจิตใจของคุณเอง คุณมีทุกอย่างเหลือเฟืออยู่ภายในจิตใจของคุณ คุณสามารถหาทางทำให้ตัวเองไปสุ่สิ่งดีๆ ทั้งหมดได้ถ้าคุณจะคิดด้วยความคิดใหม่ๆ
การมีเหลือเฟือไม่เคยเกิดขึ้นกับใครที่ “คิดแคบๆ”
ดัง นั้นเพื่อเป็นการกระตุ้นให้มีเหลือเฟือ ขอให้คิด คิดอย่างจริงจังว่ามันมีวิธีที่จะทำให้ดีขึ้น และถ้าคุณสามารถคิดขึ้นมาได้ในสมองของคุณ คุณย่อมสามารถคิดทำมันให้กลายเป็นความจริงขึ้นมาได้ จงศรัทธา ภาวนา คิด และให้ นี่เป็นปัจจัยสี่อย่างของการมีอย่างเหลือเฟือ อย่าเป็นคนที่คิดอะไรแคบๆ!
ผมพบผู้ชายที่น่าสนใจมากคนหนึ่งที่ฮองก งชื่อ นายชอย ซึ่งอพยพหนีภัยคอมมิวนิสต์มาจากประเทศจีน นายชอยเคยเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยในประเทศจีนสมัยก่อน เขารักอิสระมากจนเขาและครอบครัวหนีออกมาจากจีนแผ่นดินใหญ่โดยไม่มีอะไรติด ตัวออกมาเลย ไม่มีอะไรนอกจากความกล้าหาญ ศรทธา และความรัก ไม่มีอะไรนอกจากความคิดในแง่บวก เขารู้ว่าชีวิตที่มีอย่างเหลือเฟือเป็นอย่างไรในทางวัตถุ แต่เขาก็รู้ด้วยว่าการมีชีวิตอย่างขัดสนมากในฮ่องกงเป็นอย่างไร ที่จริงเขาอยู่ในสภาพที่ยากจนข้นแค้นมาก
ตอนที่เขาและครอบครัวมาถึง ฮ่องกงโดยไม่มีเงินแม้แต่แดงเดียว พวกเขาสร้างเพิงเล็กๆ ทำจากกล่องบุด้วยเศษผ้า พวกเขาหุงข้าวในที่โล่งหน้าบ้านซอมซ่อของเขา หลังจากที่นายชอยอยู่ในฮ่องกงได้หลายสัปดาห์ในสภาพที่แสนจะข้นแค้น เขาก็ได้งานเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง ซึ่งให้เงินเขาเดือนละสิบดอลล่าร์ฮ่องกง (1.6 ดอลลาร์สหรัฐ)
แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือ นายชอยไม่ได้รู้สึกเป็นทุกข์หรือเครียดแค้น เขาพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้สภาพเป็นอยู่ของเขาดีขึ้น แต่เมื่อความพยายามของเขาล้มเหลว เขาก็รู้จักที่จะเปลี่ยนความคิดและคิดอย่างมีเหลือเฟือไม่ว่าจะผิดหวังมาก มายเพียงใด เขาพยายามหาบ้านให้กับครอบครัวของเขาในครงการที่อยู่อาศัยที่จัดโดยกลุ่มเม โธดิสท์ (นิกายหนึ่งของคริสเตียน) ที่เรียกว่าหมู่บ้านเวสลีย์ซึ่งอยุ่ใกล้ๆ กับที่อยู่ของเขา นายชอยเป็นเมโธดิสท์และหมู่บ้านเวสลีย์ก็เป็นชุมชนที่อบอุ่นที่สร้างขึ้น เพื่อเป็นที่อยู่สำหรับผู้อพยพโดยเฉพาะ บ้านที่นี่เป็นกระท่อมหลังเล็กๆ ที่มี 2 ห้องและตั้งอยู่ที่เชิงเขาอย่างเป็นระเบียบอบอุ่นและสวยงาม แต่เขาจะต้องจ่ายเงินวันละ 50 เซนต์ฮ่องกงหรือ 8 เซนต์สหรัฐในขณะนั้น ซึ่งเป็นเงินจำนวนที่มากกว่าที่นายชอยจะสู้ไหว ดังนั้นความฝันของเขาจึงเป็นไปไม่ได้
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ในวันที่เพื่อนและเพื่อนบ้านของเขาที่สามารถมีเงินพอที่จะย้ายไปอยู่ที่นั่น ได้ เก็บสัมภาระและดิ้นรนขึ้นไปที่เชิงเขาเพื่อไปยังหมู่บ้านเวสลีย์ นายชอยก็ไปช่วยก็ไปช่วยพวกเขาที่นั่น เขาแบกสัมภาระที่หนักที่สุด เขาหัวเราะและร้องเพลงขณะที่เขาแบกสัมภาระของคนที่โชคดีขึ้นไป เขายินดีไปกับคนพวกนี้ด้วย เขาช่วยยายแก่ๆ และเด็กเล็กๆ เขาเองก็อยากย้ายครอบครัวของเขาไปที่นั่นด้วยเหมือนกัน แต่เมื่อเขาไปไม่ได้ เขาก็ยินดีให้กับคนที่ย้ายไปได้ นายชอยรู้จักที่จะคิดอย่างมีเหลือเฟือ เขาเป็นลูกศิษย์ที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์ ซึ่งสัญญากับเราว่า “…เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์” (ยน 10:10)
เรื่องที่ผมเล่านี้สอนผมให้เห็นประเด็นที่น่าอัศจรรย์ว่า นายชอยสามารถมีความสุขได้อย่างเหลือเฟือ มีน้ำใจที่เห็นได้อย่างเด่นชัด มีกำลังใจและอารมณ์ดี แม้ในเวลาที่โชคไม่เข้าข้างเขา และยังมีบางอย่างเกี่ยวกับบุคลิกภาพของเขาที่ทำให้ผู้อื่นเกิดความประทับใจ ขึ้นมาด้วย คุณน่าจะได้เห็นใบหน้าที่สว่างไสวของเขา มันทำให้หัวใจของคุณรู้สึกอบอุ่นเพียงแค่ได้เห็นหน้าเขา
ไม่นานหลังจาก นั้น มีคนหางานให้นายชอย เขาได้เงินเดือน 35 ดอลล่าร์ฮ่องกง ซึ่งมากกว่า 3 เท่าของเงินเดือนเก่าของเขา กฎของการมีให้อย่างเหลือเฟือเริ่มให้ผล และหลังจากนั้นไม่นานก็มีบ้านหลังหนึ่งที่ชุมชนในหมู่บ้านเวสลีย์ว่างลง คุณคงไม่สงสัยว่านายชอยและครอบครัวได้รับการเสนอชื่อให้กับบ้านหลังนี้ ชายชาวจีนคนนี้จะคงอยู่ในความทรงจำของผมตลอดไปในฐานะคนที่มีจิตใจดีงามอย่าง แท้จริงคนหนึ่งที่ผมได้พบในชีวิต
ประสบการณ์ของเขาแสดงให้เห็นได้ อย่างเด่นชัดว่า กฎแห่งการมีอย่างเหลือเฟือทำงานแม้ในสภาพที่ถูกทอดทิ้งและสิ้นหวัง มันกระตุ้นให้เกิดพลังซึ่งเป็นผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนสภาวการณ์ได้อย่างน่า ประหลาด แต่บางทีสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ มันทำให้เกิดทัศนคติที่สร้างสรรค์ต่อสภาวการณ์ต่างๆ นายชอยให้อย่างเต็มที่ (ในเวลาที่ผู้คนอาจบอกว่าเขาไม่น่าจะมีอะไรให้ได้) ดังนั้น เขาจึงได้รับกลับอย่างเหลือเฟือ ด้วยกฎของความคิดและการใช้ชีวิตแบบนี้ เราสามารถสร้างผลงานอันสร้างสรรค์ แม้ในสภาพที่เลวร้ายสุดๆ ได้
*****ถ้า คุณปรับตัวให้เข้ากับกฎแห่งการมีอย่างเหลือเฟือได้แล้ว สิ่งดีๆ ในชีวิตจะวิ่งเข้ามาหาคุณเป็นลูกคลื่น คุณจะได้สัมผัสกับอารมณ์อันเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข ความสุขสบายทางร่างกาย (หรือแม้แต่ทางวัตถุ) ยิ่งกว่าที่คุณเคยนึกฝันเอาไว้ ถ้าทุกวันนี้คุณกำลังมีชีวิตอยู่ต่ำกว่าการมีเหลือเฟือ ขอให้อ่านบทนี้ซ้ำอีกครั้งและเลือกสิ่งกระตุ้นตัวใดตัวหนึ่งที่สามารถ ประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ของคุณได้ ร่วมมือกับมันอย่างเต็มที่ อยู่กับมัน ศรัทธาในตัวมัน ทำให้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งในจิตใต้สำนึกของคุณ คุณจะรู้ได้ว่าคุณเป็นเช่นนั้นแล้วเมื่อคุณไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ ในการปฏิบัติตามเทคนิคใหม่นี้เลย และผมมั่นใจได้ว่าภายใน 6 เดือน ชีวิตของคุณจะดีขึ้นมากกว่าที่คุณเคยคาดคิดไว้*****
..............................................
จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้าน เพราะแหล่งแห่งชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ (สภษ 4:23)
Keep thy heart with all diligence; for out of it are the issues of life. (Proverbs 4:23 KJV)
...........................................................................................................................................
*****นอร์ แมน วินเซนต์ พีล “มหัศจรรย์แห่งการคิดบวก - the amazing results of positivething” ผู้แต่งหนังสือขายดีทั่วโลก the power of positive thinking ประมาณ 15 ล้านเล่ม , (กทม:สำนักพิมพ์ต้นไม้) ,พิมพ์ครั้งที่ 1 : สิงหาคม 2548
***** จากผู้คัด/ย่อ - ผู้แต่งเป็นผู้รับใช้พระเจ้า และเข้าใจว่า บางข้อความคริสเตียนอาจจะรู้สึกแปลกๆ อาจเป็นเพราะผู้แต่งเขียนให้ทั้งคาทอลิก โปรเตสแตนท์ ยิว และคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าอ่านได้ด้วย อีกทั้งผู้แปลหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่คริสเตียน (มีวางจำหน่ายที่ร้านหนังสือคริสเตียนหลายแห่ง) ซึ่งผู้คัด/ย่อเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์ในการนำมาประยุกต์ใช้ได้กับคริสเตียน บางท่านที่อ่านด้วยใจที่กว้างขวาง และขอพระวิญญาณทรงนำในการอ่าน
อีก ทั้งตามพระคำของพระเจ้า ก็ให้คริสเตียนใคร่ครวญแต่สิ่งดีๆ ดังเช่น ในฟิลิปปี 4:8 “พี่น้องทั้งหลาย ในที่สุดนี้ สิ่งใดที่จริง สิ่งใดที่น่านับถือ สิ่งใดที่ยุติธรรม สิ่งใดที่บริสุทธิ์ สิ่งใดที่น่ารัก สิ่งใดที่น่าฟัง คือถ้ามีสิ่งใดที่ล้ำเลิศ สิ่งใดที่ควรแก่การสรรเสริญ ก็ขอจงใคร่ครวญดูสิ่งเหล่านี้”
*****หลักของการหว่านและการเก็บเกี่ยว (ที แอล ออสบอร์น- ชีวิตที่เป็นเลิศ)
(กาลาเทีย 6:7,ปฐมกาล 8:22, ยอห์น 3:16)
ไม่มีความรักที่ปราศจากการให้
ไม่มีการให้ที่ปราศจากการได้รับ
ไม่มีการปลูกที่ปราศจากการเก็บเกี่ยว
หลักการ 2 ประการที่ไม่เปลี่ยนแปลง
1.เราเก็บเกี่ยวชนิดเดียวกับเมล็ดที่เราหว่านเสมอ
2.เราเก็บเกี่ยวมากกว่าที่เราหว่านเสมอ
รักและจะได้รับความรัก
ช่วยเหลือและจะได้รับความช่วยเหลือ
ให้ความกรุณาและจะได้รับกรุณา
แสดงความเมตตาและจะได้รับความเมตตา
ให้และได้รับมากกว่าที่คุณได้ให้ไป
หว่านและเก็บเกี่ยวมากกว่าที่คุณได้ปลูกไป
ปลูก ความรัก ปลูกความเมตตา ปลูกความกรุณา ปลูกกำลัง ปลูกความเชื่อ ปลูกเงิน ปลูกสิ่งดีอะไรก็ตามที่พระองค์ได้ทรงประทานแก่คุณ แล้วคุณจะเก็บเกี่ยวผลแห่งพระพรเดียวกันอย่างอุดมสมบูรณ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น