พระเจ้าและวิทยาศาสตร์ (GOD and Science) ตอนที่ 1/2
ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าพระเจ้าเป็นเรื่องงมงาย เป็นเพราะในอดีตกาลนั้นมนุษย์มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์น้อยมาก ปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆที่เกิดขึ้น มนุษย์ในสมัยนั้นเชื่อว่าเหตุการณ์เหล่านั้นมีเทพเจ้าอยู่ เบื้องหลัง แต่หลังจากที่วิทยาการ วิทยาศาสตร์ของมนุษย์ก้าวหน้ามากขึ้น ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ความลี้ลับ ปรากฎการณ์ธรรมชาติต่างๆที่มนุษย์เคยให้เคารพนับถือ บูชา บัดนี้ ปรากฏการณ์เหล่านั้นเป็นเพียงแค่ปรากฏการณ์ธรรมชาติเท่านั้นเอง
ทุกวันนี้เทพเจ้าต่างๆที่มนุษย์เคยนับถือ Zeus, Odin, Anubis เทพเจ้าต่างๆได้ตายไปจากความคิดของมนุษย์หมดแล้ว ความเชื่อในอดีตมากมายถูกสั่นคลอนด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ พระเจ้าของคริสเตียนถูกตั้งคำถามมากมาย พระเจ้ามีจริงหรือ? หลายคนคิดว่าวิทยาศาสตร์คือคำตอบของทุกสิ่ง “แต่” ความจริงก็คือ วิทยาศาสตร์ตอบได้แค่เพียงบางคำถามเท่านั้นเอง
ของทุกอย่างที่มีจุดเริ่มต้น ต้องมีเหตุ จักรวาลมีจุดเริ่มต้นจริงหรือ?
กฎของ Thermodynamic ปริมาณของสสารและพลังงานทั้งหมดในเอกภพมีปริมาณจำกัดคงที่
เรา ไม่สามารถสร้างสสารหรือพลังงานขึ้นใหม่ได้ สสาร และ พลังงาน อาจเปลี่ยนรูปไปมาแต่ไม่อาจมีปริมาณเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ ถึงแม้ปริมาณของพลังงานจะคงเดิม แต่พลังงานที่ใช้งานได้จะลดลงเรื่อยๆ
เช่น เดียวกับเอกภพของเรา เมื่อดาวฤกษ์ต่างๆเผลาผลาญพลังงานจนหมด เอกภพก็จะสูญสลาย ทุกสิ่งมีจุดจบ มีจุดเริ่มต้น แต่ผู้ใดให้กำเนิดเอกภพ? คำถามนี้ยากเกินกว่าจินตนาการของมนุษย์จักขานไข
ก่อน หน้าเอกภพเป็นอย่างไร นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าก่อนหน้านี้เอกภพเป็นกลุ่มก้อนที่รวมตัวกัน มีเส้นผ่านศูนย์กลางเป็นศูนย์ และมีอุณหภูมิสูงหลายล้านองศา ก่อนหน้าที่จะมีเอกภพ ไม่มีทั้งเอกภพ และไม่มีเวลา เอกภพและเวลาเกิดขึ้นพร้อมกัน เราไม่อาจเข้าใจว่าเวลาคืออะไรกันแน่ มีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดจริงหรือ เวลาสัมบูรณ์หรือไม่
ทฤษฎีที่มีชื่อเสียงทฤษฎีหนึ่งของเซอร์ไอแซค นิวตัน คือ ทฤษฎีความเร็วสัมพัทธ์
เช่น สมมุติว่ามีแก้ววางอยู่บนรถ คนบนรถจะเห็นว่าแก้วตั้งอยู่นิ่งๆ แต่คนที่อยู่นอกรถจะเห็นว่าแก้วกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่ากับความเร็ว ของรถ และหากเราออกไปอยู่ในยานอวกาศและมองกลับมาบนโลก เราจะเห็นว่าแก้วกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 107, 000 กม./ชม. เท่ากับความเร็วของโลก
ตกลง แก้วเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่าใดกันแน่ ทุกคนต่างก็วัดความเร็วได้ถูกต้อง คำตอบคือตอบไม่ได้ครับ ทั้งนี้เป็นเรื่องของความเร็วสัมพัทธ์ อีกหนึ่งกรณีคือ รถตำรวจกำลังวิ่งด้วยความเร็ว 100 กม./ชม. และรถของผู้ร้ายกำลังวิ่งด้วยความเร็ว 120 กม./ชม.
ตำรวจจะเห็นว่ารถผู้ร้ายกำลังวิ่งออกห่างจากรถตำรวจด้วยความเร็ว 20 กม./ชม. ขณะเดียวกันเราได้ขับรถสวนทางกับรถทั้งสองด้วยความเร็ว 80 กม./ชม. เราจะเห็นว่ารถตำรวจกำลังวิ่งด้วยความเร็ว 180 กม./ชม. และรถของผู้ร้ายกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 200 กม./ชม.
ดัง นั้นเมื่อเราวัดความเร็วของสิ่งใด จะวัดความเร็วได้เท่าไรนั้นต้องขึ้นกับว่าผู้วัดกำลังเคลื่อนที่ด้วยความ เร็วเท่าใดและกำลังเคลื่อนที่ไปในทิศทางใด เมื่อวัดความเร็วต้องบอกว่าค่าที่ได้นั้นเทียบกับอะไร เพราะไม่มีอะไรที่ถือว่าหยุดนิ่งจริงๆ นีเป็นทฤษฎีของท่านเซอร์ไอแซค นิวตัน
อย่างไรก็ตามได้เกิดปัญหาขึ้นในปี 1887 เมื่อ Edward Morley และ Albert Michelson ได้ ทดลองวัดความเร็วของแสงในทิศทางที่โลกเคลื่อนที่เข้าหาหรือเคลื่อนออกจาก กำเนิดของแสง ปรากฏว่าได้ความเร็วที่เท่ากัน ไม่ว่าอย่างไรก็วัดความเร็วแสงได้คงที่ที่ 186,000 ไมล์ต่อวินาที และไม่สามารถหาคำอธิบายที่เหมาะสมได้

อัลเบิร์ต ไอนสไตน์ ได้กล่าวไว้ว่า กฎความเร็วสัมพัทธ์ของนิวตันจะถูกต้องได้ต้องเอา ความเร็วแสงเข้ามาคำนวณด้วย ไอนสไตน์ ได้ชี้ให้เห็นว่าผลการทดลองของทั้งสองคนออกมาเป็นเช่นนั้นเพราะ เวลาไม่ใช่สิ่งที่สัมบูรณ์ เวลาสามารถยืดหดได้ เมื่อเราเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง เวลาของเราจะเดินช้าลง ดังนั้นทำให้เราวัดความเร็วแสงได้คงเดิมเสมอ
ต่อมาทฤษฎีของไอนสไตน์ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นจริง
โดยนำนาฬิกาอะตอมที่มีความเที่ยงตรงสูงมาก 2 เรือน เรือนหนึ่งอยู่บนโลก อีกเรือนหนึ่งใส่ในจรวดที่มีความเร็วสูงมาก พบว่านาฬิกาที่อยู่ในจรวดเดินช้ากว่าเรือนที่อยู่บนโลก และเมื่อนำสารกัมมันตภาพรังสี ใส่ในจรวดที่เดินทางด้วยความเร็วสูง จะพบว่าการสลายตัวนั้นข้าลง แสดงให้เห็นว่าเวลาจะเดินช้าลงเมื่อเราเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง
เช่นกันของนำฝาแฝดคนหนึ่งเดินทางไปในอวกาศด้วยความเร็วสูงเมื่อกลับมาบนโลก เขาจะยังหนุ่มกว่าคู่แฝดของเขา ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า twin paradox

ยิ่ง เข้าใกล้ความเร็วแสงมากเท่าใดเวลาจะเดินช้าลงๆ และที่ความเร็วแสงเวลาจะหยุดนิ่ง เราจะไม่แก่ลงเลย แล้วเราจะสามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วแสงได้มั้ย คำตอบคือไม่ได้ ทุกวันนี้พบว่าแม้แต่มวลก็ไม่สัมบูรณ์ เมื่อสสารเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว มวลของมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทีความเร็ว 0.9c มวลของสสารจะเพิ่มเป็นเท่าตัว และที่ความเร็ว 1.0c มวลของสสารจะเพิ่มเป็นอนันต์
ดัง นั้นเมื่อมวลเป็นอนันต์ก็ต้องใช้พลังงานเป็นอนันต์เพื่อขับเคลื่อนมวล นั้น ตามทฤษฎีจึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะสามารถเดินทางด้วยความเร็วแสงได้ เวลาไม่เพียงยืดหดได้ แต่เวลายังถูกทำให้โค้งงอด้วยอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงด้วย ยิ่งแรงโน้มถ่วงมาก เวลาจะยิ่งเดินช้าลง
ดัง นั้นเมื่อแรกเริ่มขณะที่เอกภพกำลังรวมตัวกันเป็นก้อนกลมที่มีเส้นผ่าน ศูนย์กลางเป็นศูนย์ แรงโน้มถ่วงจะมหาศาลจนดึงเวลาให้โค้งงอไม่มีที่สิ้นสุดและไม่อาจเริ่มต้นได้ จนกระทั่งเมื่อเอกภพขยายตัวและแรงโน้มถ่วงลดลง เวลาจึงเริ่มต้นได้
ทฤษฎีสัมพันธภาพกล่าวว่า ไม่มีเวลาใดที่เป็นมาตรฐาน มนุษย์ทุกคนต่างมีเวลาเป็นของตนเอง ขึ้นอยู่กับว่าอยู่ที่จุดใดและเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่าใด
ทุกวันนี้ เป็นที่ยอมรับแล้วว่าทั้งมวลและเวลาต่างก็ไม่สัมบูรณ์ แต่ดูเหมือนสิ่งที่สัมบูรณ์เพียงสิ่งเดียวในเอกภพคือ แสง
พระเจ้าตรัสว่า พระองค์เป็นแสงสว่าง วิวรณ์ 22:5
ดังนั้นผู้ที่ให้กำเนิดเวลานั้นมิได้อยู่ในกรอบของเวลา ผู้ให้กำเนิดเวลาย่อมดำรงอยู่ก่อนการกำเนิดเวลา
ในพระธรรม 2 ทิโมธี 1:9 ได้กล่าวไว้ว่า
who has saved us and called us to a holy life—not because of anything we have done but because of his own purpose and grace. This grace was given us in Christ Jesus before the beginning of time,
และพระธรรมทิตัส 1:2
a faith and knowledge resting on the hope of eternal life, which God, who does not lie, promised before the beginning of time,

พระเยซูทรงดำรงอยู่ก่อนการกำเนิดเวลา ดังนั้นพระองค์ไม่มีจุดเริ่มต้น พระองค์ไม่มีจุดสิ้นสุด ดังนั้นไม่ต้องมีใครสร้างพระองค์ เช่นเดียวกับภาพวงกลม ถามว่าจุดเริ่มต้นของวงกลมอยู่ตรงไหน ไม่มีใครตอบได้
และ เนื่องจากมนุษย์ถูกกำหนดอยู่ในกรอบของ เวลา ดังนั้นเป็นการยากที่เราจะเข้าใจผู้อยู่เหนือ เวลา ได้ แต่แม้เป็นเรื่องยาก พระเจ้าก็ทรงอนุญาตให้มนุษย์สามารถทำความเข้าใจจากแง่มุมของพระองค์ได้ผ่าน ทางผู้เผยพระวจนะ ซึ่งก็คือพระธรรมอิสยาห์ พระธรรมอิสยาห์เป็นการมองจากมุมของพระเจ้า อิสยาห์บันทึกเหตุการณ์ต่างๆโดยไม่คำนึงถึงลำดับเวลาของเหตุการณ์
เพราะการลำดับเวลาในโลกไม่มีความหมายในสายพระเนตรของพระเจ้า ทุกสิ่งไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ปรากฏในสายพระเนตรของพระเจ้าเสมอ
2 เปโตร 3:8
แต่ดูก่อนพวกที่รัก อย่าลืมความจริงข้อนี้เสีย คือวันเดียวของพระเจ้าเป็นเหมือนกับพันปีและพันปีก็เป็นเหมือนกับวันเดียว
ทฤษฎีบิ๊กแบง
การระเบิดครั้งใหญ่ที่เรียกว่า supernova ทำให้ทฤษฎีบิ๊กแบงน่าเชื่อถือมากขึ้น
แต่การระเบิดนั้นเกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือมีใครควบคุมอยู่?

บิ๊กแบงจะต้องเกิดในอุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุด ภายใต้สภาวะที่เหมาะสมที่สุด
หลังจากการระเบิดหากจักรวาลเย็นเร็วเกินไปจะประกอบด้วยแก๊สฮีเลียมทั้งหมด
และหากจักรวาลเย็นลงช้าเกินไปทั่วทั้งจักรวาลจะไม่มีแก๊สฮีเลียมเลย
การระเบิด ต้องระเบิดอย่างสมดุล หากการระเบิดรุนแรงเกินไป อนุภาคต่างๆจะกระจายออกไปหมด ไม่อาจรวมตัวกันเป็นระบบสุริยะต่างๆได้
หากการระเบิดปลดปล่อยพลังงานน้อยเกินไป เอกภพก็จะกลับมารวมตัวกันไม่แยกเป็นกาแล็กซีต่างๆอย่างทุกวันนี้
หากมีใครบอกว่าบ้านหลังหนึ่งเกิดขึ้นโดยการระเบิดจะมีใครเชื่อบ้าง?
กาแล็กซีที่มีระบบระเบียบยิ่งกว่าบ้านหรือเมืองใหญ่ๆ จะเกิดขึ้นจากการระเบิดโดยบังเอิญได้หรือ?
Genesis 1:1
In the beginning God created the heavens and the earth.
ปฐมกาล 1:1
ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้าง ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก
โลกของเราโคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยความเร็วพอดีๆ ที่ 107,000 กม./ชม.
ความเร็วขนาดนี้ทำให้โลกสามารถรักษาระยะห่างจากดวงอาทิตย์ได้คงที่
หากเร็วกว่านี้โลกจะค่อยๆเคลื่อนห่างออกไปตั้งวงโคจรใหม่และหนาวเย็นจนอยู่ไม่ได้
หากช้ากว่านี้โลกจะค่อยๆเข้าใกล้ดวงอาทิตย์และถูกดวงอาทิตย์ดูดเข้าไป
ที่มา : http://www.mythland.org

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น