ปาเลสไตน์เป็นดินแดนที่ผลัดกันอยู่ ชาวยิวอยู่เมื่อหลายพันปีมาก่อน แต่เมื่อพันปีก่อนหน้านี้ชาวโรมันเข้ามาปกครองรู้จักกันในนามโรมันตะวันออก ที่เรียกว่าไบเซนไทน์ (Byzantine) หลังจากนั้นก็พ่ายแพ้ให้แก่ ชาวอาหรับ ก็เลยมีปัญหากับชาวยิว ขับไล่ชาวยิวกระจัดกระจายออกไปอยู่ในที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะในยุโรปเป็นจำนวนมาก
ไซออนนิสม์ (Zionism) คือ ขบวนการต่อสู้ผลักดันในทุกวิถีทางเพื่อจัดตั้งที่อยู่ในปาเลสไตน์ให้แก่ชาว ยิวที่กระจายอยู่ทั่วโลก โดยความเชื่อที่ว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานดินแดนนั้น ให้แก่พวกตน และพวกตนเคยเป็นเจ้าของดินแดนนี้ มาแต่ครั้งโบราณ ไซออน (Zion) เป็น ชื่อของภูเขาลูกหนึ่งในเยรูซาเลมโบราณ ชาวยิวเชื่อว่ากษัตริย์ดาวิดได้สร้างสักการสถานหลังหนึ่งไว้บนนั้น จึงถือว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ชาวยิวนำมาเป็นสัญลักษณ์แห่งความมุ่งหมายอันห่างไกลของตน จึงกลายเป็นลัทธิไซออนนิสม์ (Zionism) ในที่สุด
ขบวนการลัทธิไซออนยุคใหม่นี้เริ่มต้นเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 (ประมาณ พ.ศ. 2400-2443) โดยธีโอดอร์ เฮิร์ซล์ (Theodore Herzl) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแผนการทางการเมืองเพื่อให้บรรลุถึงความเป็นรัฐอิสระเหนือ อาณาเขตที่ครองครองโดยชาวปาเลสไตน์ ความคิดนี้ได้รับการสนับสนุนเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับตั้งแต่หลังสงครามโลก ครั้งที่ 1 เป็นต้นมา ปัญหายิว-อาหรับเริ่มต้นในยุคสมัยใหม่นี่เอง

ใน ค.ศ.1832 อิบรอฮีม ปาชา ผู้นำอียิปต์ เข้าครองปาเลสไตน์แทนตุรกี ต่อมาอีก 8 ปีชาวปาเลสไตน์ กลับไปเข้ากับตุรกีต่อสู้กับอียิปต์ กองทัพของตุรกี อังกฤษ และรัสเซียเป็นฝ่ายมีชัย อังกฤษจึงเข้ามามีอำนาจ ในตะวันออกกลางได้ อังกฤษสนใจปาเลสไตน์เป็นพิเศษ เพราะเป็นทางเชื่อมมาถึงอินเดียได้ แต่อังกฤษต้องแข่งขันกับฝรั่งเศส และรัสเซีย ซึ่งต่างก็ต้องการมีอิทธิพลที่นั่นด้วย
เฮิร์ซล์เขียนหนังสือเล่มหนึ่งที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการตั้งรัฐยิวตีพิมพ์เผยแพร่ออกมา ในเดือนกุมภาพันธ์ 1896 ชื่อเรื่อง The Jewish State (Der Judenstaat) เนื้อหาของหนังสือนอกจากสอดคล้องกับข้อความในคัมภีร์ไบเบิ้ลที่กล่าวถึง The Promise Land ของ ชาวยิว แล้ว ยังบังเอิญไปพ้องกับผลประโยชน์ของมหาอำนาจตะวันตกอีกด้วย วัตถุประสงค์และเป้าหมายนี้ได้รับการสนับสนุนโดยปฏิญญาบอลโฟร์ (Balfour Declaration) ของประเทศอังกฤษในปี พ.ศ. 2460 โดยเงื่อนไขว่าต้องไม่ทำให้ประชาชนที่ไม่ใช่ชาวยิวในอาณาบริเวณนั้นเสีย
นาย เชม วีซมานน์ ผู้นำคนหนึ่งของลัทธิไซออนนิสม์ได้เที่ยวขอร้องรัฐบาลประเทศต่าง ๆ รวมทั้งผู้คนจำนวนมากโดยเน้นอย่างฉลาดถึงผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างประเทศ เหล่านั้นกับองค์การไซออนนิสม์สากล และใช้ความสนิทสนมกับบุคคลสำคัญ ๆ เป็นเครื่องมือทางการเมืองแก่รัฐบาลของประเทศตะวันตกโดยมุ่งไปที่อังกฤษ ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์และสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งรัฐบาลอังกฤษซึ่งตอนนั้นมีเซอร์ เชอร์ชิล เป็นนายกรัฐมนตรีถได้รับการรบเร้าจากผู้แทนของประธานาธิบดีวิลสันแห่งสหรัฐ อเมริกาจนได้ประกาศคำประกาศปฏิญญาบอลโฟร์ ออกมาเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 1947 เป็นคำประกาศสนับสนุนการจัดตั้งรัฐยิวขึ้นในปาเลสไตน์
อังกฤษ ได้ส่งชาวยิวจากประเทศอังกฤษไปยังปาเลสนไตน์เพื่อทำให้คำประกาศบัลโฟร์เป็น ผลสำเร็จขึ้นมา นอกจากนั้นก็มีชาวยิวจากประเทศอื่น ๆ อพยพเข้ามาอีก เช่น จากรัสเซียเป็นจำนวนมาก อังกฤษได้ออกกฎหมายเกี่ยวกับการอพยพเข้าประเทศขึ้น ทำให้มีโควต้าชาวยิวที่จะอพยพเข้ามาได้ปีละ 16,500 คน และยังได้ออกกฎหมายแบ่งสันที่ดินและตั้งหลักแหล่งชาวยิวขึ้น นอกจากนั้น อังกฤษยังออกกฎหมายให้ชาวยิวใช้ทรัพยากรสินแร่และจัดทำโครงสร้างพื้นฐานขึ้น ได้ ชาวยิวจึงมีอำนาจควบคุมการชลประทาน การไฟฟ้า และการใช้สินแร่ที่สำคัญที่สุดของประเทศมากขึ้นทุก ประธานาธิบดีทรูแมนแห่งสหรัฐอเมริกาได้ส่งสาส์นถึงนายเชอร์ชิล คัดค้านการจำกัดโควต้ายิวอพยพ และได้หว่านล้อมเชอร์ชิลให้ช่วยเหลือ พวกไซออนนิสม์ ชาวยิวบางส่วนก็ได้เดินทางเข้าปาเลสไตน์โดยความช่วยเหลือของอเมริกา องค์กรที่เป็นตัวแทนของชาวยิวได้เรียกร้องให้รัฐบาลอังกฤษประกาศว่า ปาเลสไตน์เป็นดินแดนของยิว และชาวปาเลสไตน์ควรจะเป็นชนกลุ่มน้อยที่อยู่ภายใต้การควบคุมของยิว
พวก ไซออนนิสม์ในปาเลสไตน์ได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากชาวยิวที่ร่ำรวยใน ประเทศอื่น ๆ และได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลประเทศตะวันตกที่มีอิทธิพลอีกด้วย ในเดือนเมษายน 1918 ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการไซออนนิสม์ในปาเลสไตน์ขึ้น มีหน้าที่ให้คำแนะนำแก่รัฐบาลอังกฤษในปัญหาทุกอย่างเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐ ยิว คณะกรรมการนี้ได้รับความสนับสนุนจากองค์กรไซออนิสต์สากล ซึ่งเกิดขึ้นในเมืองบาเซิลเมื่อปี ค.ศ. 1897 ในไม่ช้าองค์การตัวแทนชาวยิวนี้ก็ได้กลายเป็นรัฐบาลที่สองคู่กับรัฐบาล อังกฤษในปาเลสไตน์ มีสำนักงานใหญ่อยู่ในยุโรปและอเมริกา เป็นผู้พิจารณาอนุมัติในเรื่องที่ชาวยิวจะเข้ามาอยู่ในประเทศ ได้จัดตั้งระบบการศึกษาและสุขาภิบาลขึ้นเพื่อชาวยิวโดยเฉพาะ ยิ่งกว่านั้นนายยาโบตินสกี้ ผู้นำฝ่ายขวาขององค์กรไซออนนิสท์ ยังได้จัดตั้งกองทัพใต้ดินของยิวขึ้นมีชื่อว่าหน่วยฮากานาห์ อังกฤษพยายามเกลี้ยกล่อมสหรัฐอเมริกาให้ช่วยรับผิดชอบทางทหารและทางการเงิน ในปาเลสไตน์ด้วย การคัดค้านของชาวอาหรับในการที่ยิวอพยพเข้ามาอย่างมากมาย และการที่ชาวอาหรับต่อสู้กับชาวยิว รวมทั้งองค์กรใต้ดินของยิวต่อสู้กับอังกฤษ เพราะอังกฤษไม่ยอมเพิ่มโควต้าชาวยิวอพยพตามที่อเมริกาขอร้อง ทำให้รัฐบาลหนักใจมาก จึงประกาศจะถอนตัวไปจากปาเลสไตน์ในวันที่ 15 พฤษภาคม 1948 ทิ้งให้ปาเลสไตน์อยู่ในการดูแลของสหประชาชาติ
ส่วนสหรัฐอเมริกาช่วยเหลือสนับสนุนอิสราเอลอยู่ตลอดมานับตั้งแต่ตอนที่อังกฤษประกาศ “คำประกาศบัลโฟร์ ” แล้ว เช่นยอมรับรองคำประกาศนั้นและออกเงินสนับสนุนให้ชาวยิวอพยพเข้าประเทศ ปาเลสไตน์ (สมัยประธานาธิบดีทรูแมน) ทั้งนี้เพราะอเมริกาไม่อยากให้ชาวยิวเข้าไปอยู่ในสหรัฐอเมริกามากนัก เมื่อยิวตั้งรัฐอิสราเอลขึ้นแล้วอิสราเอลได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐสองทาง ด้วยกันคือ ความช่วยเหลือจากรัฐบาลหรือองค์การที่ขึ้นอยู่กับรัฐบาลโดยตรง กับความช่วยเหลือทางอ้อมคือความช่วยเหลือจากสถาบันและองค์การไซออนนิสม์อเม ริกันและจากประชาชนอเมริกัน รวมทั้งความช่วยเหลือจากรัฐบาลอื่น ๆ และสถาบันอื่น ๆ ภายใต้ความกดดันของรัฐบาลสหรัฐ
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. ค.ศ. 1948 การจัดตั้งรัฐอิสระของชาวยิวได้รับการสันสนุนเป็นทางการโดยองค์การสหประชา ชาติ จนถึงบัดนี้ขบวนการรวบรวมชาวยิวที่ถูกขับไล่กระจัดกระจายพลัดถิ่นแต่โบราณ ให้กลับถิ่นเดิมก็ยังคงดำเนินการไปอย่างเดิม มีชาวยิวที่ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกอพยพกลับสู่ดินแดนปาเลสไตน์อย่างไม่ขาดสายอยู่เช่นเดิม ลัทธิไซออนได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากชาวปาเลสไตน์และประเทศอาหรับ พวกเขาถือว่า ชาวอาหรับครอบครองปาเลสไตน์ มาช้านานแล้ว และกำลังอยู่ในปาเลสไตน์ ในตอนนั้นด้วย จึงยอมให้ชาวยิวเข้ามาเป็นเจ้าของประเทศไม่ได้
ปัญหา เรื่องการปกครองปาเลสไตน์ต่อไปได้กลายเป็นที่ถกเถียงกันในสมัชชาสหประชาชาติ คณะกรรมาธิการพิเศษของสหประชาชาติเกี่ยวกับปัญหาปาเลสไตน์ ได้เสนอแผนการให้แบ่งปาเลสไตน์ออกเป็นส่วนๆ โดยมีรัฐอาหรับ รัฐยิว และส่วนที่ไม่เป็นของใครสำหรับกรุงเยรูซาเล็มเมืองหลวงนั้นให้อยู่ในความ ดูแลของสหประชาชาติ รัฐอาหรับและรัฐยิวจะมีความสัมพันธ์กันด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ชาวอาหรับคัดค้านข้อเสนอนี้ โดยอ้างว่าไม่สอดคล้องกับกฎหมาย, ความ ยุติธรรมและหลักการประชาธิปไตย การแบ่งประเทศไม่เป็นที่ต้องการของประชาชนส่วนใหญ่แต่สหประชาชาติก็ตัดสิน ด้วยการลงคะแนนเสียง 33 ต่อ 13 (มีผู้ไม่ออกเสียง 30 คน) ให้แบ่งปาเลสไตน์ดังนี้ การที่สหประชาชาติตัดสินเช่นนี้เป็นเพราะอิทธิพลทางการเมืองขององค์การไซออ นนิสม์นั่นเอง ในปีนั้น (1947) มีชาวยิวที่อยู่มาแต่ดั้งเดิมอยู่เพียง 1 ใน 10 เท่านั้น ชาวยิวที่อยู่ในปาเลสไตน์ตอนนั้นได้อพยพมาจากประเทศอื่นๆ นอกจากนั้นตามมติของสหประชาชาติที่จะยกที่ดินจำนวน 14,500 ตารางกิโลเมตร จากที่ดินทั้งหมด 26,323 ตารางกิโลเมตร (คือร้อยละ 57) ให้แก่รัฐยิว โดยชาวอาหรับจะเหลือที่ดินอยู่เพียงร้อยละ 43

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น