ที นี้เคยคิดกันมั้ยครับว่า สัญลักษณ์ที่สำคัญยิ่งอีกอย่างหนึ่งขององค์เยซู คือไม้กางเขน ที่ตรึงพระองค์จนสิ้นชีพนั้น บัดนี้อยู่ที่ไหน มีใครเคยคิดตามล่าหาไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์ (THE HOLY CROSS) หรือหลายคนเรียกว่า ไม้กางเขนจริง (TRUE CROSS) บ้างหรือไม่
มีครับ ตามอ่านกันได้เลยในซันเดย์สเปเชียลหนนี้
อัน ที่จริงเครื่องหมายกางเขน (CROSS) นั้น มีอยู่ก่อนสมัยศาสนาคริสเตียนแล้วครับ มีหลักฐานคือ ภาพเขียนบนแผ่นหินแบนๆ ในถ้ำแห่งหนึ่งที่ไพรีนีส์ของฝรั่งเศส ซึ่งมีรูปเรขาต่างๆ รวมทั้งรูปมนุษย์ และสัญลักษณ์กางเขน ซึ่งภาพเหล่านี้ ประเมินแล้วเขียนขึ้นตั้งแต่เมื่อ 10,000 ปีก่อน ค.ศ.โน่น!
รูป กางเขนอาจบ่งบอกถึงการชี้ทิศทั้งสี่ และตรงกลางก็คือ “โลก” นั่นเอง แต่บางคนสันนิษฐานว่า เป็นซี่ล้อ และล้อนั้นเป็นวงกลม หมายถึงพระอาทิตย์ ซึ่งชนคริสเตียนรุ่นแรกๆนั้น ถือกันว่า องค์พระไครสท์มีความเชื่อมโยงกับพระอาทิตย์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ กว่าทั้งมวล แขนทั้งสองกางหมุนตลอดความกว้างและยาว ส่วนขาทางตั้งก็ครอบคลุมทั้งความสูงสุดยอด ตลอดจนความลึกดำดิ่งถึงบาดาล
เครื่องหมายสวัสดิกะก็เป็นรูปกางเขนแบบหนึ่งที่พวกนาซีนำมาใช้
แต่ ที่สำคัญที่สุดก็คือ กางเขนลาติน (CRUXIMMISSA) ที่มีขาล่างยาวกว่าอีก 3 แขน และที่บรรดาคริสต์ศาสนิกชน ใช้มือทำเครื่องหมายบนหน้าผากและ หน้าอกในเวลาอธิษฐาน สิ่งใดๆ นั่นแหละครับ
หาก ทว่าก่อนจะมาเป็นสัญลักษณ์แห่ง การสักการะนั้น ไม้กางเขนได้ถูกใช้สำหรับ เป็นเครื่อง มือประหารนักโทษ และไม่ใช่นักโทษธรรมดาๆ หากเป็นอาชญากรที่ทำความผิดร้ายแรง หรือเป็นนักโทษชั้นต่ำโดยเฉพาะ พวกทาส นักโทษจะถูก มัดหรือตอกตะปูตรึงมือ ทั้งสองและเท้าไว้ แล้วปล่อย ให้ตากแดดตากลมตายไปอย่าง สุดแสนทรมาน
ทีนี้ ก็มาถึงเรื่องการตรึงกางเขนพระเยซู หรือที่เรียกกันว่า CRUCIFIXION
ใน ปี พ.ศ. 543 ทารกหนึ่งได้ถือกำเนิด ในหมู่บ้านเบธเลเฮม แขวงกรุงเยรูซาเลม ประเทศปาเลสไตน์ (อิสราเอลปัจจุบัน) ผู้เป็นมารดามีนามว่า มาเรีย เมื่อเติบโตขึ้นในเมืองนาซาเรธ หนุ่ม จีซัส (JESUS) หรือพระเยซู มีความเฉลียว ฉลาดมาก ได้เที่ยวอบรมสั่งสอนผู้คน ให้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่อ้างว่าได้รับมา จากพระเจ้า โดย พระเจ้าได้ทรง มอบหมาย ให้พระองค์มาเป็นผู้แทน ในการปลดเปลื้องบาปเคราะห์ ของมนุษย์ จึงทรงได้นามว่า ไครสท์ (CHRIST=ผู้ เปลื้องทุกข์)
หลัง สิ้นพระชนม์ โจเซฟ แห่งอาริมาเธีย ได้ร้องขอต่อ ปอนติอุส ไพเลท ผู้ปกครอง จากโรม ในการนำศพ ลงมาฝัง เชื่อกันว่าเมื่อฝัง องค์เยซูแล้ว โจเซฟก็ได้นำ กางเขนกับแผ่น จารึกฝังลงไปด้วย
แผ่น จารึกนี้เรียกกันว่า ไตตุลุส (TITULUS) เป็นแผ่นไม้ที่มี ตัวอักษรซึ่ง ไพเลทสั่ง ให้เขียนไว้ว่า “จีซัสแห่งนาซาเรธ กษัตริย์แห่งยิว” แล้วนำไปติดกับ ไม้กางเขนที่ตรึงองค์เยซู อักษรจารึกดังกล่าวนี้ เป็นการเยาะหยัน ที่พระเยซู ทรงเป็นประหนึ่งผู้นำของชาวยิว เขียนไว้เป็น 3 แถว 3 ภาษา ฮีบรู, กรีก และละติน ที่น่าประหลาดก็คือ แถวที่ 2 กับ 3 นั้น เขียนจากขวาไปซ้ายแบบเดียว กับที่อ่านจากกระจกเงา การเขียนลักษณะนี้แพร่หลาย อยู่ในอดีตจนสิ้นคริสต์ศตวรรษที่ 1 จึงหมดไป
จุด ที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนและ ฝังพระศพนั้น อยู่ทางเหนือของเนินเขาไซออน ปัจจุบันเป็นที่ตั้ง ของโบสถ์แห่งสุสานศักดิ์สิทธิ์ (CHURCH OF THE HOLY SEPULCHER)
ลุล่วง มาในปี ค.ศ. 350 เชื่อกันว่าได้มีการขุดนำกางเขนศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา โดยนักบุญ ไซริล บิชอปแห่งเยรูซาเลม กล่าวว่าไม้กางเขนถูกแบ่งออกเป็นหลายชิ้น และแจกจ่ายไปทั่ว
นอก จากนี้ ได้มีบันทึกของ นักประวัติศาสตร์ อิตาเลียน ในศตวรรษเดียวกันนี้ระบุว่า ในปี ค.ศ. 326 พระนางเฮเลนา ซึ่งเป็นพระราชมารดาของ จักรพรรดิคอนสแตนตินแห่งกรุงโรม ได้เสด็จมาเยือนกรุงเยรูซาเลม และได้บัญชาให้ขุดค้นหา ไม้กางเขนในบริเวณสุสาน พระนางได้พบกางเขน 3 อัน ตะปูที่ใช้ตรึงนักโทษ และแผ่นจารึกที่มีอักษร “นี่คือกษัตริย์แห่งยิว”
ทั้งนี้ เพราะมีนักโทษอีก 2 คน ที่ถูกตรึงกางเขนในวันเวลา เดียวกันกับพระเยซู แล้วทำอย่างไรจึงจะรู้ว่ากางเขน อันไหนเป็นอันจริง
วิธีการนั้นไม่ยาก แต่น่าอัศจรรย์ยิ่ง
นั่นคือ นำกางเขนเข้าไปให้สตรีคนหนึ่ง ที่กำลังป่วยหนักใกล้สิ้นใจได้สัมผัส กางเขนแท้สามารถดลบันดาลให้เธอหายป่วยได้เป็นปลิดทิ้ง!
สำหรับตะปูหรือหมุดที่ใช้ตรึงองค์พระเยซูนั้น ไม่เป็นที่ประจักษ์ชัดว่ามีอยู่ 3 หรือ 4 ดอก แต่น่าจะเป็น 3 ดอก ที่ใช้ตรึง 2 มือ กับ 1 เท้า (วางทับกัน) ซึ่งชาวคริสต์ เปรียบเสมือน “สามองค์ (TRINITY)” คือ พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณ
ว่ากันว่า ตะปูดอกหนึ่งถูกนำไปประดับ ในวงกลมหน้ามงกุฎเหล็กแห่งลอมบาร์ดี้ ณ เมืองมอนซ่า
ตะปู ศักดิ์สิทธิ์อีกดอกหนึ่ง มีจารึกใน ประวัติศาสตร์ว่า ในคราวที่จักรพรรดิ คอนสแตนติน ทรงไปเยือนกรุงคอนสแตนติโนเปิล ที่พระองค์ตั้งให้เป็นนครหลวงแห่งพระราชอาณาจักรนั้น พระองค์ได้ทรงอาชาที่มีเครื่องผูกหัวที่ประดับด้วยตะปูศักดิ์สิทธิ์ เพื่อประกาศให้โลก ได้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของศาสนาคริสเตียน ซึ่งพระองค์ได้นำมา ให้อาณาจักรโรมันยอมรับนับถือ แทนที่เทพเจ้าทั้งหลายที่โรมันเคารพบูชามาแต่เดิม (อาทิ จูปิเตอร์, อปอลโล, เนปจูน ฯลฯ)
ชิ้น กางเขนส่วนหนึ่ง พระนางเฮเลนาได้ทรงมอบคืนแก่ เยรูซาเลม รวมทั้งบางส่วนของแผ่นจารึกไตตุลุสด้วย และสองสิ่งนี้ ก็กลายเป็นที่ดึงดูดให้ศาสนิกชนคริสเตียนมาจาริกแสวงบุญที่นครนี้
ชิ้น ส่วนแผ่นไตตุลุสที่พระนางเฮเลนานำมาโรม ได้ถูกเก็บรักษาไว้เป็นความลับจนแทบไม่มีผู้ใดได้รู้ว่าอยู่ที่ใดในโบสถ์ซาน -ตาโกรเซ ถึง ค.ศ. 1492 จึงพบว่าที่แท้อยู่ภายใต้ภาพปูนเปียก ก่อให้เกิดความตื่นเต้นแก่ชาวคริสต์เป็นอย่างยิ่ง และมหาประติมากร มิเกลันเจโล (หรือที่เราเรียกผิดๆว่า ไมเคิล แองเจโล นั่นแหละครับ) ก็ได้ศึกษาแผ่นไตตุลุสนี้ด้วยตนเอง และสลักไม้ เป็นรูปการตรึงกางเขนพระเยซู พร้อมด้วยแผ่นจารึกที่เขียนจากขวาไปซ้ายด้วย
นั่น ก็เป็นเรื่องราวหรือ ตำนานที่บอกเล่ากัน ต่อๆมา เมื่อกาลเวลาผ่านพ้น ไปกว่าสองพันปี สถานที่อันเป็นจุดกำเนิด เหตุการณ์ก็ได้ถูกทับถม หรือสูญหายไป หลายแห่งมีการก่อสร้าง ทับหลายซับ หลายซ้อน จนเราไม่อาจรู้ได้แน่ว่า วัตถุโบราณที่อ้าง ว่าศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นของแท้ หรือของเทียมกันแน่
ปัจจุบัน มีสถานศักดิ์สิทธิ์มากมาย หลายร้อยแห่ง ที่อ้างว่าเป็นที่ประดิษฐานของชิ้นส่วน ไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นสิ่งทำเทียม แม้กระทั่งชิ้นส่วนไม้กางเขนและแผ่น จารึกที่เก็บรักษาไว้ในโบสถ์แห่งซานตาโกรเซ, กรุงโรม เราจะเชื่อแน่ได้หรือไม่ว่าเป็นของจริง เพราะถูกเก็บรักษาไว้อย่างเข้มงวด กล่าวคือในช่วงเวลา 600 ปีหลังนี้ ชิ้นส่วนแผ่นไม้โบราณที่มี อักษรเลือนรางนี้ ถูกนำออกจากกล่องเพียงแค่ 4 ครั้ง โดยทางวาติกันได้ปฏิเสธเด็ดขาด ไม่ยอม ให้มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ เช่น การทดสอบรังสีคาร์บอนเพื่อหาอายุที่แท้จริงของเนื้อไม้
ปล่อยให้เป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสต่อไปนานๆไม่ดีกว่าหรือ เพราะทุกวันนี้เราก็หาที่พึ่งพิง ทางใจกันได้ยากเย็นอยู่แล้วนี่นา
ถ้า หากใครสนใจใคร่รู้รายละเอียดของ กางเขนศักดิ์สิทธิ์ให้มากกว่านี้ ก็ติดตามชม ได้ในโทรทัศน์ยูบีซี ช่อง DISCOVERY (43) เรื่อง QUEST FOR THE TRUE CROSS วันที่ 11 มกราคมนี้ เวลา 10.00-11.00 น. ครับผม.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น