อวสานศาสตร์ในแง่ของศาสนศาสตร์ และยุคพันปีในพระธรรมวิวรณ์


อวสานศาสตร์ในแง่ของศาสนศาสตร์ และยุคพันปีในพระธรรมวิวรณ์

end times jesus

อวสานศาสตร์ที่จะพูดถึงนั้น

มี 2 หัวข้อหลัก ๆ คือ

1. อวสานศาสตร์ในแง่ของศาสนศาสตร์ ของทีเซ่น ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง

2. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพระธรรมวิวรณ์

อวสานศาสตร์ในแง่ของศาสนศาสตร์

อวสานศาสตร์ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่

1. ส่วนของชีวิตของตัวเรา

2. และเรื่องการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์เจ้า

ส่วนของชีวิตเรา

เมื่อพูดถึงชีวิตของเรา ก็คิดถึงร่างกายที่ตายไปแล้ว และถูกฝัง หลังจากนั้นจะไปอยู่ที่ไหน ? ซึ่งเป็นเรื่องหนึ่งที่มีการพูดถึงกันอย่างมาก

เมื่อ เราตายไปแล้ว หมดลมหายใจ ก็จะเหลืออยู่เพียงจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นภาพความเข้าใจได้โดยทั่ว ๆ ไป แต่ที่เป็นปัญหา คือ ตายแล้วไปไหน

ในสมัยพระคัมภีร์เดิม สิ่งที่บอกได้อย่างเด่นชัด คือ จะอยู่ในที่แห่งหนึ่ง ใน Intermediate State หรือ ฮาเดส ซึ่งเป็นที่ที่วิญญาณทั้งหลายพักไว้อยู่ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนของผู้ชอบธรรม และ ส่วนของผู้ที่ไม่ชอบธรรม

พระ เยซูคริสต์ได้ทรงเสด็จไปยังคุก และนำคนเหล่านั้น ที่ชอบธรรม ออกมาจากคุกนั้น เหลือผู้ที่ไม่ชอบธรรม ที่ยังอยู่ในที่จำจอง หรือ "แดนมรณา" ส่วนผู้ชอบธรรมเสด็จขึ้นไปกับพระเยซูคริสต์

ส่วน ในสมัยหลังจากที่พระเยซูคริสต์เสด็จมายังโลกนี้แล้ว ผู้ที่เชื่อ หลังจากตาย จะขึ้นไปอยู่กับพระเยซูคริสต์เลย ไม่ต้องลงไปยังแดนมรณา ส่วนผู้ที่ไม่เชื่อ ก็จะลงไปอยู่ในแดนมรณา เพื่อรอการพิพากษา ร่วมกับผู้ที่ไม่ชอบธรรมก่อนที่พระเยซูคริสต์เสด็จมา

ใน แง่ของคาทอลิก ไม่รับอิทธิพลจาก นักปราชญ์ท่านหนึ่ง ซึ่งเขียนหนังสือขึ้นมา เล่าถึงการที่ท่านได้ไปเห็นแดนต่าง ๆ ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ดินแดน ได้แก่

  1. นรก สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อ และเป็นคนที่ประพฤติตนไม่ดี
  2. แดนสำหรับผู้ที่ไม่เชื่อ แต่เป็นคนดี ซึ่งจะอยู่อย่างสงบ เพียงแต่ไม่ได้พบกับพระเจ้า และไม่มีความสุขที่แท้จริง
  3. แดนชำระ สำหรับผู้ที่เชื่อ แต่ทำตัวไม่ดี ซึ่งจะแบ่งออกเป็นขั้น ๆ ออกไปอีก 7 ขั้น
  4. สวรรค์ สำหรับผู้ที่เชื่อ และประพฤติตัวดี

ในสมัยกลาง ได้มีการนำแนวคิดนี้มาใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง ในการขาย "ใบไถ่บาป" เพื่อจะได้เลื่อนขั้นในแดนชำระ ซึ่งได้รับการต่อต้านโดย มาร์ติน ลูเธอร์

ส่วนพุทธศาสนา เป้าหมายสูงสุด คือ นิพพาน นั่นคือ ดับสูญ

แต่ในความเชื่อของคริสเตียน เชื่อว่า เมื่อจากโลกนี้ไป ก็ไม่ได้ดับสูญ แต่ยังคงอยู่ต่อไป

เรื่องการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์เจ้า

ประมาณทุก ๆ 500 ปี จะมีการวิตกกังวล เรื่องการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ และจะมีการตื่นตระหนก รวมถึงจะมีการทำนายต่าง ๆ ออกมา

คำพยากรณ์กับปรากฎการณ์ธรรมชาติ

"เพราะ ประชาชาติต่อประชาชาติ ราชอาณาจักรต่อราชอาณาจักรจะต่อสู้กัน ทั้งจะเกิดกันดารอาหารและแผ่นดินไหวในที่ต่าง ๆ" (มัทธิว 24:7)

ปัจจุบัน พบว่า แม้ว่าโลกจะเจริญเพียงใด แต่การกันดานอาหารนั้นก็ยังคงมีอยู่เสมอ แม้แต่ในอเมริกา ก็ยังมีพวกที่ไม่มีที่อยู่อาศัย พวก homeless ซึ่งน่าสงสารมาก

การ เกิดแผ่นดินไหวก็เช่นกัน พบว่าทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน ๆ แม้แต่ในประเทศไทย ที่เดิมไม่มีแผ่นดินไหว แต่ปรากฎว่าปัจจุบันเกิดขึ้นบ่อย แม้แต่ในกรุงเทพก็เกิดเช่นกัน

"11 ผู้เผยพระวจนะปลอมหลายคนจะเกิดมีขึ้น และล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลงไป
12 ความรักของคนส่วนมากจะเยือกเย็นลง เพราะความอธรรมแผ่กว้างออกไป" (มัทธิว
24:11-12)

แม้แต่ความเชื่อเทียมเท็จ ซึ่งพระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงทำนายไว้ ก็ได้เกิดขึ้นอย่างมากมายในขณะนี้

แม้ ว่าความรู้ของมนุษย์เราจะก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น แต่ตรงกันข้าม คุณธรรมของมนุษย์ได้ตกต่ำลงทุกวัน จนถึงขั้นขีดสุด แม้แต่ชีวิตมนุษย์ อวัยวะของมนุษย์ก็ยังมีการซื้อขายกัน

"แต่ ตัวเจ้าดาเนียลเอ๋ย จงปิดถ้อยคำเหล่านั้นไว้และประทับตราหนังสือนั้น เสียจนถึงวาระสุดท้าย คนเป็นอันมากจะวิ่งไปวิ่งมา และความรู้จะทวีขึ้น" (ดาเนียล 12:4)

คำ ทำนายของท่านดาเนียลได้กล่าวไว้ แม้ว่าท่านคงจะยังไม่เห็นว่าจะเป็นได้อย่างไร แต่ปัจจุบันจะเห็นได้ชัดว่า การเดินทางคมนาคมสะดวกมาก และความรู้ของมนุษย์ ได้มีความก้าวหน้าอย่างมากมาย ซึ่งตรงกับคำทำนายของท่านดาเนียล

การเสด็จมาของพระเยซูคริสต์นั้น มี 2 เหตุการณ์ ได้แก่ การเสด็จมาในท้องฟ้า เพื่อรับคริสตจักรของพระองค์ขึ้นไปอยู่กับพระองค์ และอีกครั้งหนึ่ง เป็นเป็นการเสด็จมาครั้งที่สองจริง ๆ คือ การเสด็จมายังโลกนี้ เพื่อปกครองยุคพันปีของพระคริสต์

การเสด็จมาในท้องฟ้าของพระเยซูคริสต์นั้น ได้กล่าวไว้ชัดเจนในพระธรรม 1 เธสะโลนิกา

"13 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย เราไม่อยากให้ท่านไม่ทราบความจริงเรื่องคนที่ล่วงหลับไปแล้ว เพื่อท่านจะไม่เป็นทุกข์โศกเศร้า อย่างคนอื่นๆที่ไม่มีความหวัง
14 เพราะในเมื่อเราเชื่อว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ และทรงคืนพระชนม์แล้ว โดยพระเยซูนั้น พระเจ้าจะทรงนำบรรดาคนที่ล่วงหลับไปแล้วนั้น มากับพระองค์
15 ในข้อนี้เราขอบอกให้ท่านทราบ ตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า เราผู้ยังเป็นอยู่และคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะล่วงหน้าไปก่อนคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้วก็หาไม่
16 ด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ด้วยพระดำรัสสั่ง ด้วยสำเนียงเรียกของเทพบดีและด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และคนทั้งปวงในพระคริสต์ที่ตายแล้วจะเป็นขึ้นมาก่อน
17 หลังจากนั้นเราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่ จะถูกรับขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น และจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละ เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์
18 เหตุฉะนั้นจงปลอบใจกันด้วยถ้อยคำเหล่านี้เถิด" (
1เธสะโลนิกา 4:13-17)

เรา ทั้งหลายที่เป็นอยู่ ขณะที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมา ก็จะถูกรับขึ้นไป รับกายใหม่ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ได้รับการนำมาทำเป็นหนัง เรื่อง Left Behind ซึ่งสรุปไว้ได้ดีทีเดียว

ใน อนาคต หลังจากที่คริสเตียนถูกรับขึ้นไป จะมีผู้หนึ่งที่ขึ้นมา นำความสงบมาสู่โลก ซึ่งจะเป็นผู้ที่เก่งมาก และจะควบคุมทั้งโลก ให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ เรื่องเหล่านี้ใกล้ตัวมาก โดยเฉพาะในปัจจุบัน ได้มีการนำ ไมโครชิพ เข้ามาใช้ ซึ่งในอนาคตมีแนวโน้มที่จะนำมาใช้กับคน

เหตุการณ์ในพระธรรมวิวรณ์

ยุคพันปีได้มี 3 ทัศนะด้วยกัน

  • Premillennium เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เจ้าจะทรงเสด็จกลับมาก่อนยุคพันปี
  • Postmillennium เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เจ้าจะทรงเสด็จกลับมาหลังยุคพันปี
  • Amillennium เชื่อว่า ปัจจุบันคือ ยุคพันปี

แนวคิดแรก คือ "Premillennium" จะตรงตามแนวคิดของพระคัมภีร์มากที่สุด

ซึ่งเมื่อพูดถึงเรื่องนี้จะต้องพูดถึงพระธรรมดาเนียล เรื่อง สัปตะ

"25 เพราะฉะนั้นจงทราบและเข้าใจว่า นับตั้งแต่การที่ถ้อยคำนั้นออกไป ให้สร้างกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่จน ถึงสมัยผู้ถูกเจิมไว้( ภาษาฮีบรูว่า เมสสิยาห์) ผู้เป็นประมุขก็เป็นเวลาเจ็ดสัปตะ และเยรูซาเล็มจะถูกสร้างขึ้นพร้อมด้วยลานเมืองและคู เป็นเวลาหกสิบสองสัปตะแต่ในยุคลำบาก
26 หลังจากหกสิบสองสัปตะแล้ว ท่านผู้หนึ่งที่ถูกเจิมไว้(ภาษาฮีบรูว่า เมสสิยาห์) จะต้องถูกตัดออกและจะไม่มีอะไรสำหรับท่าน และประชาชนของประมุขผู้หนึ่งที่จะมานั้น จะทำลายกรุง และสถานศักดิ์สิทธิ์เสีย ที่สุดปลายของมัน(หรือ ท่าน) จะมาถึงด้วยน้ำท่วม จนกระทั่งที่สุดจะมีสงคราม มีความวิบัติกำหนดไว้
27 ท่านจะทำพันธสัญญาเข้มแข็งกับคนเป็นอัน มากอยู่หนึ่งสัปตะ ท่านจะกระทำให้การถวายสัตวบูชา และเครื่องบูชาอื่นๆ หยุดไปครึ่งสัปตะ ผู้ที่จะกระทำให้เกิดความวิบัตินั้น จะมาบนปีกของสิ่งน่าสะอิดสะเอียน จนความอวสานที่ได้กำหนดไว้จะถูก เทลงเหนือผู้กระทำให้เกิดความวิบัตินั้น"

(ดาเนียล 9:25-27)

หลัง จากที่พระเยซูคริสต์เสด็จขึ้นไป จะเป็นสมัยของคริสตจักร ซึ่งเป็นสมัยแห่งพระคุณ นับเวลาตามสัปตะไม่ได้ เป็นช่วงระหว่างสัปตะที่ 69 และสัปตะที่ 70 เป็นช่วงที่พระองค์ทรงรอคอยให้คนทั้งหลายที่พระองค์ได้ทรงเลือกไว้ กลับใจ และเวลาที่พระองค์จะเสด็จกลับมานั้น ก็ไม่มีใครรู้ได้

สัปตะที่ 70 จะเป็นยุคที่ได้กล่าวถึงในยุคของพระธรรมวิวรณ์ ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นช่วงระยะเวลาที่จำกัด เป็นเวลา 7 ปี ซึ่งถ้าผู้ที่ไม่ได้ถูกรับขึ้นไป สามารถทนจนถึงที่สุด ก็จะสามารถได้รับความรอดด้วยเช่นกัน

เหตุการณ์เหล่านี้ จะสิ้นสุดที่ขันที่ 7 หลังจากขันที่ 6 คือ สงครามอารมาเกดโดน พอเป็นขันที่ 7 ก็จะเกิดลูกเห็บตกลงมาจากฟ้าสวรรค์ จะมีคนจำนวนมากมายเสียชีวิต คนที่ไม่เชื่อพระเจ้าทั้งหมดก็จะตายหมด เหลือที่ผู้ที่เชื่อในพระเจ้า แต่ไม่ได้ถูกรับขึ้นไป ซึ่งหลังจากนั้น จะเกิดยุคสงบสุข พระคริสต์จะทรงเสด็จมาปกครอง ตลอดระยะเวลา 1,000 ปี ภูมิศาสตร์ในโลกนี้ก็จะเปลี่ยนไปหมด

ช่วง เวลาพันปีนี้ พระคริสต์ได้ทรงมัดซาตานไว้ และหลังจากพันปี จะทรงปล่อยซาตานออกมา ซึ่งมันจะรวบรวมผู้คนที่จะต่อสู้กับพระคริสต์ และจะเกิดสงครามใหญ่ขึ้นมา พระคริสต์จะทรงชนะสงครามอย่างราบคาบ

หลัง จากนั้นก็จะเกิดการพิพากษาบนพระที่นั่งใหญ่สีขาว และผู้ที่ไม่มีชื่อในหนังสือแห่งชีวิตก็จะได้รับการพิพากษาตามการกระทำ และจะถูกโยนไปสู่ในบึงไฟนรก

ส่วนเรา ที่เป็นคริสเตียน แม้ว่าจะไม่ต้องได้รับการพิพากษาบนพระที่นั่งใหญ่สีขาวก็ตาม แต่เราก็ยังจำเป็นที่จะต้องรายงานสิ่งที่ได้กระทำต่อหน้าพระพักตร์ของพระ เยซูคริสต์ เป็นการรายงานถึงการใช้ "ตะลัน" ที่เราได้รับจากพระองค์ ว่าเราได้ใช้มันอย่างเต็มที่หรือไม่

และ หลังจากนั้น ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ก็จะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ ซึ่งจะเป็นชีวิตที่สมบูณ์แบบ กายของผู้เชื่อก็จะเป็นลักษณะที่เรียกว่า "กายทิพย์" เหมือนดังที่พระธรรมยอห์นได้เขียนไว้ถึงลักษณะของพระเยซูคริสต์หลังจากเป็น ขึ้นจากความตายแล้ว

ส่วนในนรกนั้น ก็ดำรงอยู่ถาวรตลอดไป เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน สาสมต่อการกระทำของผู้ที่อยู่ในนรกนั้น

นรก นั้นมีจริงอย่างแน่นอน เพราะเป็นความยุติธรรม แม้ว่าจะมีคำพูดที่ว่า "สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ" ก็ตาม แต่ความจริง สวรรค์ และ นรก มีจริง ๆ การพิพากษาจะต้องเกิดขึ้นจริง ๆ อย่างแน่นอน

"ใน เรื่องนี้จงใช้สติปัญญาให้ดี ถ้าผู้ใดมีความเข้าใจก็ให้คิดตรึกตรองเลขของสัตว์ร้ายนั้น เพราะว่าเป็นเลขของบุคคลผู้หนึ่ง เลขของมันคือหกร้อยหกสิบหก" (วิวรณ์ 13:18)

ในพระคัมภีร์วิวรณ์ ได้มีการพูดถึงตัวเลขตัวหนึ่ง คือ "666" เมื่อพูดถึง 666 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของมารร้าย ในอดีต อาจจะนึกถึงเนโร ฮิตเลอร์ เหมาเจอตุง ฯลฯ แต่ปัจจุบัน เป็นที่ยอมรับกันว่า 666 คือ คอมพิวเตอร์ ซึ่งมีผู้ที่ได้ทำการคิดค้น ถอดรหัส จะพบว่า คอมพิวเตอร์มีความสัมพันธ์กับเลข 666 อย่างชัดเจน

แต่จริง ๆ แล้ว จะต้องระมัดระวังให้ดีในการตีความถึงสิ่งเหล่านี้ จะต้องพิเคราะห์ดูให้ดีว่าพระคัมภีร์กำลังพูดถึงใคร

ส่วนตัวแล้ว มีความคิดอย่างหนึ่งว่า พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ในวันที่ 6 ดังนั้น คนนั่นแหละที่เป็นศัตรูที่สำคัญของพระเจ้า เมื่อใดก็ตามที่เราเอา "คน" เป็นศูนย์กลาง เราก็จะเป็น Antichrist ทันที และสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ที่เกิดมา ก็เกิดมาจากคนทั้งสิ้น แม้แต่คอมพิวเตอร์เองก็เช่นกัน ก็คิดค้นขึ้นโดยมนุษย์

สิ่ง ที่สำคัญในชีวิตของเรา เมื่อเรียนรู้ถึงอวสานศาสตร์ คือ เราได้บังเกิดใหม่อย่างแท้จริงแล้วหรือยัง จะไม่มีใครรู้ได้ นอกจากเราเอง ถ้าเราไม่ได้บังเกิดใหม่ เมื่อพระคริสต์ทรงเสด็จกลับมา ก็จะเป็นผู้ที่โดน Left Behind เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

"เหตุฉะนั้นการลงโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลาย ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์" (โรม 8:1)

ถ้าเราอยู่ในพระคริสต์ เราก็จะไม่ต้องรับการพิพากษา และเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ได้เขียนไว้ในพระธรรมวิวรณ์ ในภัยพิบัติต่าง ๆ เรื่อง ตรา แตร ขัน ก็จะไม่เกิดขึ้นกับตัวเรา เพราะเหตุการณ์เหล่านี้ได้เกิดขึ้นหลังจากที่คริสตจักรได้ถูกรับขึ้นไปแล้ว

การ พิพากษาจะมาถึงทุกคนอย่างแน่นอน และถ้าไม่ได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว จะไม่มีผู้ใดที่ผ่านการพิพากษาไปได้เลย เราจะรอดได้ ก็รอดโดยพระคุณเท่านั้น

ศจ.วิรัช เศรษฐโสภณกุล

หลักสูตรศาสนศาสตร์ระยะสั้น สำหรับคณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง

revelation

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น